ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นผลทำให้เกิดร้านแม่น้ำลำคลองขึ้น
หมู่บ้านที่เกิดขึ้นนี้มักมีลักษณะยาวติดต่อกันไปตามความยาวของลำคลองหรือแม่น้ำ
ส่วนพื้นที่ด้านหลังมักเป็นสวน
และถัดจากสวนจะเป็นทุ่งนาหรือไร่
หมู่บ้านลักษณะนี้มักมีการขยายตัวไปตามความยาวของลำน้ำ
ซึ่งทำให้ยากต่อการพัฒนาและการปกครอง ดังนั้น
ภายในหมู่บ้านจึงมี "วัด"
เป็นศูนย์กลางและมีอิทธิพลในการประสานยึดเหนี่ยวให้หมู่บ้านดำรงอยู่อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน
หมู่บ้านริมน้ำดังกล่าวนี้ถ้ามีปริมาณมาก
และขยายตัวโดยมีขอบเขตและคันคูแล้ว
จะกลายเป็นเมืองซึ่งมีลักษณะเรียกว่า "เมืองอกแตก"
ที่หมายถึง เมืองที่มีแม่น้ำหรือลำคลองขนาดใหญ่ผ่านกลาง เช่น
เมืองพิษณุโลก เป็นต้น
![](../images/aoktak.gif)
|
แต่ถ้าเป็นหมู่บ้านที่เกิดขึ้นริมทาง
ซึ่งในสมัยก่อนใช้เกวียนเป็นยานพาหนะทางบก และมีสัตว์พวกช้าง
ม้า วัว ควายเป็นตัวลากจูง
การเดินทางจึงมีขีดจำกัดตามกำลังความสามารถของสัตว์เหล่านั้น
หากระยะทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งไกลเกินกำลังของสัตว์
ไม่สามารถไปถึงจุดหมายภายในหนึ่งวัน ก็จำเป็นต้องพักแรม
พอรุ่งเช้าจึงเดินทางต่อ
บริเวณที่เกวียนมาหยุดพักแรมนี้
มักมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมาปลูกเพิงขายอาหารและสิ่งของเครื่องใช้แก่ผู้ที่สัญจรไปมารวมทั้งหาสิ่งของมาแลกเปลี่ยนด้วย
ต่อมาเมื่อกิจการค้าเจริญขึ้นจึงมีชาวบ้านมาปลูกเพิงขายของเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
เพิงคว้าขายเหล่านี้จึงขยายออกไปตามแนวยาวและเพิ่มจากหนึ่งแถวเป็นสองแถว
และเมื่อเวลาผ่านไป
ผู้อยู่อาศัยมีความคุ้นเคยกับสถานที่บริเวณนั้นมากขึ้น
จึงได้ปลูกเป็นเรือนถาวรขึ้นแทนเพิงค้าขาย
โดยจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่พักอาศัยและอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ค้าขาย
เมื่อจำนวนหลังคาเรือนมากขึ้นจึงกลายเป็นหมู่บ้านไปในที่สุด
โดยด้านหลังของหมู่บ้านมักเป็นเรือกสวนไร่นา คล้ายๆ
กับหมู่บ้านริมแม่น้ำลำคลอง |