ฉบับที่7
ฉบับที่ 7 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
หลังการปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์ ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 3 ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2495 และประกาศให้สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง โดยคณะปฏิวัติทำหน้าที่บริหารประเทศ โดยจอมพลสฤษดิ์ ผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ให้ออกจากกัน คณะปฏิวัติออกกฎหมายโดยการออกประกาศของคณะปฏิวัติ และบริหารราชการแผ่นดินโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นผู้สั่งการ เป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการอย่างไม่มีขอบเขต
ประเทศไทยมีการปกครองโดยปราศจากรัฐธรรมนูญ เป็นเวลา 101 วัน นับตั้งแต่ วันที่ 20 ตุลาคม 2501 จนถึงวันที่ 28 มกราคม 2502 จึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญไทยที่สั้นที่สุด คือ มีเพียง 20 มาตรา กล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีลักษณะเป็นรัฐธรรมนูญของรัฐเผด็จการที่ชัดเจนที่สุด
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อรอการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ก็ถูกใช้เป็นเวลายาวนานรวมถึง 9ปี 4 เดือน 20 วัน จนกระทั่งถูกยกเลิกอย่าง "สันติ" เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้วเสร็จและประกาศบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่มา : http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p069.html
หลักการสำคัญ
1) ประกาศว่าอำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย แต่ไม่มีองค์กรใดแห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรที่มาจากราษฎรเลย แม้แต่องค์กรเดียว ไม่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร์สำหรับฝ่ายบริหารกำหนดให้กษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ
2) ยืนยันว่า ประเทศไทยเป็นเอกรัฐ (รัฐเดี่ยว) อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3) มีคณะองคมนตรีเป็นคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์
4) ให้มีสภาเดียว คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง จำนวน 240 คน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ และให้มีฐานะเป็นรัฐสภา ทำหน้าที่นิติบัญญัติด้วย
5) พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภามิได้ ในขณะเดียวกัน พระมหากษัตริย์ก็ทรงถอดถอนรัฐมนตรีได้ แต่จะทรงถอดถอนนายกรัฐมนตรี มิได้
6) ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ใน มาตรา 17 ให้อำนาจ (พิเศษ) นายกรัฐมนตรี โดยมติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการ หรือ กระทำการใดๆ ได้ และให้ถือว่าคำสั่ง หรือ การกระทำเช่นว่านั้น เป็นคำสั่ง หรือ การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถือได้ว่า มาตรานี้ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจเผด็จการได้อย่างเต็มที่ เช่น มีการสั่งให้ประหารชีวิต หรือ จะยึดทรัพย์สินใครก็ได้ เป็นต้น ดังความบัญญัติว่า "ในระหว่างที่ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือราชบัลลังก์ หรือการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลาย ก่อกวนหรือคุกคามความสงบที่เกิดขึ้นภายในหรือมาจากภายนอกราชอาณาจักร ให้นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใดๆ ได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นว่านั้น เป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามความในวรรคก่อนแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภาทราบ"
7) รับรองความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี แต่ไม่มีหลักประกันความเป็นอิสระ
8) ในกรณีที่เกิดช่องว่างของรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย (มาตรา 20)