หน้า3สงคราม
นอกจากนี้กองทัพอากาศเยอรมันยังมีเครื่องบินโจมตี (battle destroyer) สองเครื่องยนต์ที่น่ากลัวอีกรุ่นหนึ่งคือ เครื่องบินโจมตีแบบ แมสเซอร์ชมิท บี เอฟ 110 (Messerschmitt Bf 110) ที่เคยสร้างผลงานอันน่าประทับใจในสมรภูมิยุโรปมากแล้วมากมาย ตั้งแต่การรบในโปแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องบินโจมตีความเร็วสูง มีอำนาจการยิงสูง โดยติดปืนกลขนาด 7.92 มิลลิเมตรแบบ MG 17 จำนวน 4 กระบอกบริเวณตอนบนของจมูกเครื่องบิน และปืนใหญ่อากาศขนาด 20 มิลลิเมตรแบบ MG FF/Mอีก 2 กระบอกบริเวณตอนล่างของจมูกเครื่องบิน รวมทั้งยังสามารถบรรทุกระเบิดเพื่อใช้โจมตีเป้าหมายบนพื้นดินได้อีกด้วย
ในช่วงต้นของการรบที่เกาะอังกฤษ เยอรมันมีเครื่องบินขับไล่แบบบีเอฟ 109 และแบบ บีเอฟ 110 อยู่ถึง 1,290 ลำ
แม้เครื่องบินแบบบีเอฟ 110 จะมีความเร็วสูงสุด 547 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมากกว่าเครื่องบินขับไล่แบบเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์ของอังกฤษก็ตาม แต่ก็มีความอุ้ยอ้ายและขาดความคล่องตัวในการรบติดพันทางอากาศเป็นอย่างมาก เนื่องจากปีกมีขนาดใหญ่และยาวถึง 25.6 เมตร ปืนกลขนาด 7.92 มิลลิเมตรที่ติดอยู่ในห้องนักบินตอนท้ายเพียงกระบอกเดียว ก็ไม่มีอานุภาพเพียงพอที่จะยับยั้งเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษที่เข้าโจมตีจากทางด้านหลังของเครื่องได้ ส่งผลให้มันกลายเป็นเป้าเคลื่อนที่ให้กับนักบินอังกฤษ ที่มีความคล่องตัวกว่าอย่างมาก เครื่องบินแบบนี้ของเยอรมันประสบกับความสูญเสียอย่างมาก จากสถิติพบว่าเยอรมันใช้เครื่องแบบ บีเอฟ 110 ในสมรภูมิเหนือเกาะอังกฤษเป็นจำนวนทั้งสิ้น 237 ลำ แต่ถูกยิงตกถึง 223 ลำ จนกระทั่งต้องถอนตัวออกจากยุทธการสิงโตทะเล เพื่อมาทำหน้าที่ใหม่ในฐานะเครื่องบินโจมตีในเวลากลางคืน แม้แต่ ฮันส์ โจอาคิม เกอริง(Hans-Joachim G?ring) นักบินเครื่องแบบ บีเอฟ 110 ซึ่งเป็นหลานของจอมพลเกอริง แม่ทัพกองทัพอากาศเยอรมันก็เสียชีวิตจากการรบในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ.1940 โดยถูกเครื่องบินขับไล่เฮอร์ริเคนจากฝูงบินที่ 87 ยิงตกเหนือเมืองปอร์ตแลนด์ (Portland)
เครื่องบินที่มีชื่อเสียงอีกชนิดหนึ่งของเยอรมันที่ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักในสมรภูมิเหนือเกาะอังกฤษก็คือ เครื่องบินโจมตีแบบดำทิ้งระเบิด เจยู 87 สตูก้า (Dive Bomber Ju 87 “Stuka” ) ซึ่งแม้จะมีขีดความสามารถในการดำทิ้งระเบิดอย่างแม่นยำเพียงใดก็ตามตลอดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในสมรภูมิเหนือเกาะอังกฤษ เครื่องบินสตูก้ากลับถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ จนบ่อยครั้งที่ฝูงบินสตูก้าต้องพบกับสูญเสียในการโจมตีถึงครึ่งหนึ่งของเครื่องบินทั้งหมด ตัวอย่างเช่นในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1940 เยอรมันสูญเสียเครื่องบินสตูก้าถึง 17 ลำจากการปฏิบัติภารกิจและต้องถอนตัวออกจากยุทธการสิงโตทะเลตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคมปีเดียวกันนั่นเอง
สำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันแบบต่างๆ เช่น เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ ไฮน์เกล 111 (Heinkel He III) ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหลักที่เข้าโจมตีเกาะอังกฤษ เครื่องบินรุ่นนี้ติดตั้งปืนกลขนาด 7.92 มม. จำนวน สามกระบอก บรรทุกระเบิดได้ 1,800 กิโลกรัม มีความเร็ว 398 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์สองเครื่องยนต์ของไฮน์เกล 111 เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ไว้ใจได้ มันประสบความสำเร็จอย่างมากในการรบที่สเปน และโปแลนด์ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมื่อต้องมาพบกับเครื่องบินสปิตไฟร์และเฮอร์ริเคนของอังกฤษ ไฮน์เกล 111 ก็พบว่า ตัวมันมีอาวุธน้อยเกินไป ที่จะต่อต้านเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ นอกจากนี้นักบินอังกฤษยังพบว่า บริเวณส่วนหัวของเครื่องบินเป็นกระจก และไม่มีเกราะป้องกันใดๆให้กับนักบิน ทั้งนี้มุ่งหมายเพื่อทัศนวิสัยที่ดีของนักบินเครื่องไฮน์เกล 111 ในการมองเห็นเป้าหมาย นักบินอังกฤษจะบินพุ่งสวนเข้าหาไฮน์เกล 111 จากด้านหน้า แล้วยิงเข้าใส่ฝูงบินทิ้งระเบิดของเยอรมันจากด้านหน้า ก่อนที่บินฉีกออกไปด้านข้าง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับฝูงบิน และนักบินของไฮน์เกล 111 เป็นอย่างมาก
ข้อจำกัดต่างของเครื่องบินเยอรมันต่างๆ เหล่านี้ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นข้อจำกัด ที่ส่งผลถึงความสูญเสียของกองทัพอากาศเยอรมันเหนือน่านฟ้าอังกฤษทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้ามเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษแม้จะมีจุดบกพร่อง มากมายรวมถึงมีจำนวนที่น้อยกว่าอย่างมาก อีกทั้งยังถูกฝ่ายเยอรมันยิงตกอีกเป็นจำนวนไม่น้อย แต่นักบินอังกฤษเกือบทั้งหมดถูกยิงตกบนแผ่นดินแม่ของตนเอง หากรอดชีวิตมาได้พวกเขาก็จะหวนกลับมาบินกับเครื่องบินลำใหม่เพื่อต่อสู้กับเยอรมันอีก ต่างจากนักบินเยอรมันที่ถูกยิงตก หากไม่เสียชีวิตก็จะถูกจับเป็นเชลย ซึ่งหมายถึงสงครามเหนือเกาะอังกฤษของนักบินคนดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว และเขาจะไม่มีโอกาสขึ้นบินทำการรบอีกต่อไป
ตลอดห้วงการรบทางอากาศเหนือเกาะอังกฤษ นักบินอังกฤษสามารถสร้างความเสียหายให้กับเยอรมันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เครื่องบินที่มีบทบาทโดดเด่นในการรบเหนือเกาะอังกฤษมีหลายชนิด เช่น เครื่องบินฮอว์คเกอร์ เฮอริเคน (Hawker Hurricane) ซึ่งแม้ว่าจะมีอายุการใช้งานเก่าแก่กว่าเครื่องบินขับไล่แบบสปิตไฟร์ (Spitfire) อันเลื่องชื่อ แต่มันก็มีจำนวนมากมายกว่าสปิตไฟร์ สามารถทำความเร็วได้ถึง 523 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและติดปืนกลขนาด .303 นิ้ว เป็นจำนวนถึงแปดกระบอก มีอำนาจการยิงที่สูงมากและเพียงพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินของเยอรมันได้เป็นจำนวนมาก จากสถิติภายหลังสงครามพบว่า เครื่องบินเยอรมันเป็นจำนวนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ที่ทำการรบเหนือเกาะอังกฤษ ถูกยิงตกหรือถูกยิงเสียหายโดยเครื่องบินแบบเฮอร์ริเคนนี้เอง
สำหรับสุดยอดของเครื่องบินขับไล่เหนือน่านฟ้าอังกฤษ ในห้วงปี ค.ศ.1940 - ค.ศ.1941 ก็คือ เครื่องบินซุปเปอร์มารีน สปิตไฟร์ (Supermarine Spitfire) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า สปิตไฟร์ มันมีความเร็วสูงถึง 580 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ติดปืนกลขนาด .303 นิ้ว ถึงแปดกระบอกที่ปีกทั้งสองข้าง ความสำเร็จในการรบเหนือเกาะอังกฤษทำให้สปิตไฟร์ได้กลายเป็นตำนานของเครื่องบินขับไล่แห่งสงครามโลกครั้งที่สองไปโดยปริยาย ในช่วงแรกของการรบอังกฤษมีเครื่องบินสปิตไฟร์ และเฮอร์ริเคนอยู่ 591 ลำ
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือนักบินอังกฤษที่ใช้เครื่องสปิตไฟร์ จะทำการปรับปืนทั้งแปดกระบอกให้มีระยะรวมศูนย์อยู่ที่ 594 เมตร คือกระสุนจากปืนทั้งแปดกระบอก เมื่อถูกยิงออกมา จะมาพบกันทั้งหมดที่ระยะ 594 เมตรจากลำกล้อง ซึ่งเมื่อทำการรบในระยะประชิดที่ใกล้ว่า 300 เมตร จะส่งผลให้กลุ่มกระสุนกระจายออกไปมาก และไม่ทำให้เกิดความเสียหายจนถึงระดับที่ทำให้เครื่องบินเยอรมันตกลงสู่พื้นดินได้ ทำให้นักบินอังกฤษบางคนพยายามปรับระยะรวมศูนย์ให้กระสุนทั้งหมดลดมาพบกันทั้งหมดที่ระยะ 200 หลา หรือประมาณ 183 - 274 เมตร ระยะที่แตกต่างนี้เอง ที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเครื่องบินของเยอรมัน หรือแม้กระทั่งสามารถทำลายเครื่องบินเยอรมันได้แม้การยิงเพียงชุดเดียว
อย่างไรก็ตามกองทัพอากาศอังกฤษยังยึดมั่นในหลักการสร้างความเสียหายให้กับฝูงบินเยอรมันมากกว่าการทำลาย โดยอังกฤษเชื่อว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะทำให้เยอรมันต้องเสียเวลาในการซ่อมแซม และต้องใช้บุคคลากรจำนวนมาก อันจะเป็นการทำให้เยอรมันต้องพะว้าพะวัง และทำการรบได้ไม่เต็มที่
ยุทธวิธีในการต่อสู้ทางอากาศระหว่างอังกฤษและเยอรมันก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฝูงบินเยอรมันจะเข้าโจมตีในลักษณะกลุ่มหรือที่เยอรมันเรียกว่า “กรุ๊ป” (Gruppe) โดยใช้อากาศยานรวมกันจำนวน 30 – 40 ลำ ในขณะที่อังกฤษจะขึ้นบินในลักษณะหมวดบิน ประกอบด้วยเครื่องบินเพียง 9 – 12 ลำ
ด้วยเหตุนี้เองจึงดูเสมือนว่าเครื่องบินอังกฤษจะมีจำนวนน้อยกว่าทุกครั้งไปเมื่อต้องทำการรบทางอากาศ แต่นโยบายการโจมตีด้วยฝูงบินในระดับ “หมวดบิน” นี้ เป็นนโยบายที่ชาญฉลาดของอังกฤษ เนื่องจากการระดมเครื่องบินเพียง 9 – 12 ลำสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาน้อยกว่าการรวบรวมเครื่องบิน 30 – 40 ลำ อีกทั้งอังกฤษยังตระหนักในความจริงที่ว่า พวกเขาจำเป็นต้องรักษาเครื่องบินทุกเครื่องที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่น ความสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
ดังนั้นการเข้าโจมตีด้วยเครื่องจำนวนน้อย หมายถึงโอกาสสำหรับการสูญเสียก็มีน้อยลงไปด้วย อีกทั้งเป้าหมายหลักของเครื่องบินขับไล่อังกฤษคือ โจมตีเพื่อเบี่ยงเบนเครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันออกจากเส้นทางที่จะสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายสำคัญ สร้างความสูญเสียให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันให้มากที่สุด อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงการปะทะกับเครื่องบินขับไล่ของเยอรมัน ในขณะเดียวกันก็พยายามนำเครื่องบินขับไล่ของตน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรล้ำค่าในการปกป้องผืนแผ่นดินอังกฤษกลับลงสู่สนามบินอย่างปลอดภัยให้ได้มากที่สุดเช่นกัน ซึ่งผลจากจากเข้าโจมตีแบบหมวดบินของอังกฤษได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ยุทธวิธีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการสร้างความเสียหายให้กับฝูงบินเยอรมัน