หน้า 2 สงคราม
มีความสับสนอย่างมากในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า ความชักช้าในการโจมตีเกิดขึ้นเพราะอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจโจมตีอังกฤษของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่ให้เกียรติและเคารพในความเป็นชนชาติอังกฤษอย่างมาก รวมไปถึงให้เกียรติต่อกองทัพบก กองทัพเรือและระบบการศึกษาของอังกฤษอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากบันทึกเรื่อง “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” หรือ Mein Kampf ที่เขาเขียนขึ้นได้อธิบายความหมายของประเทศอังกฤษว่าเป็น “ประเทศพี่น้องของชนชาติเยอรมัน” (Germanic Brother Nation) พร้อมทั้งเรียกชนชาติอังกฤษว่าเป็น “แฮร์เรนโฟล์ค” (Herrenvolk) ซึ่งแปลว่า “เชื้อชาติชั้นนำ” (master race) ซึ่งเป็นเชื้อชาติที่มีความบริสุทธิ์ทัดเทียมกับชาวเยอรมัน อีกทั้งความฝันของฮิตเลอร์ในการแผ่ขยายอาณาจักรไรซ์ที่สาม (The Third Reich) ของเขาก็คือ การครอบครองยุโรปควบคู่ไปกับการเคียงข้างกับศักยภาพทางทะเลของอังกฤษ แม้ในช่วงต่อมาของสงครามฮิตเลอร์ก็ยังคงชื่นชมอังกฤษอยู่เสมอ จนถึงกล่าวขณะที่กองทัพเยอรมันรุกเข้าสู่กรุงมอสโคว์ เมืองหลวงของรัสเซียตอนหนึ่งว่า “เยอรมันจะต้องเรียนรู้อีกมากจากพวกอังกฤษ”
แม้ว่าฮิตเลอร์จะประทับใจอังกฤษมากเท่าใดก็ตาม การโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมันก็เริ่มเปิดฉากขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ.1940 เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวน 70 ลำเข้าโจมตีท่าเรือต่างๆ ที่เมืองเซาท์ เวล (South Wale) และนับจากนั้นอีก 3 สัปดาห์ต่อมา นักบินของเยอรมันและอังกฤษก็เข้าต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด โดยฝ่ายอังกฤษนั้นไม่ได้มีแต่เพียงนักบินอังกฤษเท่านั้น หากแต่ยังประกอบไปด้วยนักบินจากประเทศต่างๆ มากมาย อาทิ นักบินจากประเทศนิวซีแลนด์จำนวน 101 นาย แคนาดา 94 นาย เบลเยี่ยม 29 นาย ออสเตรเลียและแอฟริกาใต้ประเทศละ 22 นาย ฝรั่งเศส 14 นาย สหรัฐอเมริกา 7 นาย และโปแลนด์ 147 นาย นาย
นักบินของกองทัพอากาศอังกฤษเหล่านี้ต่อสู้อย่างทรหด แม้จะอิดโรยอย่างมากจากการโจมตีของเยอรมันระลอกแล้ว ระลอกเล่า ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งนี้เพื่อรักษาแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของตน ฝูงบินที่มีชื่อเสียงของอังกฤษที่ปฏิบัติการรบในห้วงเวลานั้นก็เช่น ฝูงบินที่ 19 (No.19 Squadron) มีรหัสเรียกขานว่า “คิว วี” มีฐานตั้งอยู่ที่เมืองดักซ์ฟอร์ดและอีสท์เชิร์ท นับเป็นฝูงบินของเครื่องบินขับไล่แบบ “สปิตไฟร์” ฝูงแรกของกองทัพอากาศอังกฤษ และมียอดการทำลายเครื่องบินข้าศึกจำนวน 68 ลำตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ค.ศ.1940 เสืออากาศที่เด่นๆ ก็คือ แอล เอ เฮนส์ (L.A. Haines) สามารถยิงเครื่องบินเยอรมันตก 6 ลำโดยลำพังและร่วมกับเครื่องบินลำอื่นอีก 2 ลำก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากการสู้รบในปี ค.ศ.1941
ในขณะเดียวกันนักบินเยอรมันก็ต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยความมีประสบการณ์จากสมรภูมิสงครามกลางเมืองในประเทศสเปนมาจนถึงสมรภูมิในยุโรป ทำให้ในขณะนั้นนักบินเยอรมันเป็นนักบินที่น่ากลัวที่สุดของโลกก็ว่าได้ ฝูงบินเยอรมันที่มีความโดดเด่นในการรบเหนือเกาะอังกฤษ
เช่น ฝูงบินที่ 2 หรือ จาคด์ชวาเดอร์ 2 ริชโธเฟน (Jagdgeschwader 2 ‘Richthofen’) ซึ่งประจำการอยู่ที่เมือง เลอ แฮฟร์ ของฝรั่งเศส เป็นฝูงบินที่ประกอบไปด้วยนักบินที่มีอาวุโสและมีความสามารถสูง ฝูงบินนี้ตั้งนามหน่วยตามชื่อของเสืออากาศเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ บารอน มานเฟรด ฟอน ริชโธเฟน (Baron Manfred Von Richthofen) มีเสืออากาศเด่นๆ เช่น เคิร์ท บัวฮ์ลิเก้น (Kurt Buhligen) ซึ่งมียอดการสังหารเครื่องบินสูงถึง 112 ลำตลอดสงครามโลกครั้งที่สอง
ฝูงบินของเยอรมันอีกฝูงหนึ่งคือ ฝูงบินที่ 26 (Jagdgeschwader 26) ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการคุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิด นักบินที่จัดว่าเป็น “ยอดเสืออากาศ” ของสงครามโลกครั้งที่สอง คือ อดอล์ฟ กัลล์ลันด์ (Adolf Galland) ก็สังกัดอยู่ในฝูงบินนี้ โดยกัลล์ลันด์สามารถยิงเครื่องบินของอังกฤษตกได้ทั้งหมด 36 เครื่องในการรบเหนือเกาะอังกฤษ และมียอดรวมเครื่องบินของศัตรูทั้งหมด 104 เครื่องตลอดสงครามโลกครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม แม้นักบินของเยอรมันจะมีความห้าวหาญและประสบการณ์ที่สูงกว่า แต่เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ระบบเรดาห์เตือนภัย ที่อังกฤษนำมาใช้ในการแจ้งเตือน ถึงการมาถึงของฝูงบินเยอรมัน ทำให้อังกฤษมีเวลาเตรียมตัวรับมือ ซึ่งอันที่จริงแล้วคำศัพท์ “เรดาห์” (Radar) นั้นมีการใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1943 ภายหลังจากการโจมตีเกาะอังกฤษเป็นเวลาเกือบสามปี โดยในขณะที่เริ่มใช้งานระหว่างการโจมตีของฝูงบินเยอรมันในปี ค.ศ.1940 นั้น กองทัพอังกฤษยังเรียกเรดาห์ของพวกเขาว่า “วิทยุค้นหาทิศทาง” (Radio Direction Finding)
อีกทั้งยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่มากที่ว่าอังกฤษมีเรดาห์เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่ในขณะนั้นเยอรมันก็มีเรดาห์ใช้งานในกองทัพของตนแล้วเช่นกัน เพียงแต่เยอรมันใช้เรดาห์ในการตรวจค้นหาเป้าหมายทางทะเลเป็นหลัก ส่วนอังกฤษนำเรดาห์เข้ามาใช้ในเครือข่ายการป้องกันน่านฟ้าของตนหรือที่เรียกว่าระบบ “ควบคุมและรายงาน” (Control and reporting system) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความจริงในข้อนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายการข่าวของกองทัพเยอรมันประเมินผิดพลาด โดยประเมินว่าอังกฤษยังไม่สามารถนำระบบเรดาห์มาใช้ในการตรวจจับอากาศยานได้ มีแต่เพียงระบบเรดาห์ด้านการข่าวบริเวณชายฝั่งทะเลเท่านั้น ข้อผิดพลาดนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้การโจมตีเกาะอังกฤษของเยอรมันประสบความล้มเหลว
นอกจากนี้การต่อสู้บนแผ่นดินอังกฤษ ทำให้นักบินเยอรมันต้องพบกับขีดจำกัดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบิน เช่น เครื่องบินแมสเซอร์สมิท บี เอฟ 109 (Messerschmitt Bf 109) ของเยอรมันที่เป็นเครื่องบินขับไล่หลักของเยอรมันในการโจมตีเกาะอังกฤษ เครื่องบินชนิดนี้มีสมรรถนะไม่ด้อยไปกว่าเครื่องบินสปิตไฟร์และเฮอร์ริเคนของอังกฤษเลย เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างที่เล็ก คล่องตัว มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง มีอัตราความเร็วในการบินดำดิ่ง เร็วกว่าเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษทุกชนิด นอกจากนี้ยังติดปืนกลขนาด 7.9 มิลลิเมตรแบบเอ็ม จี 17 (MG 17) ที่จมูกของเครื่องบินจำนวนสองกระบอกโดยทำการยิงลอดใบพัด ส่วนปืนใหญ่อากาศขนาด 20 มิลลิเมตรแบบเอ็ม จี เอฟ เอฟ (MG FF) อีกสองกระบอกติดที่ปีกทั้งสองข้าง ข้างละหนึ่งกระบอก ในช่วงต้นของการรบที่เกาะอังกฤษ เยอรมันมีเครื่องบินขับไล่แบบนี้และแบบ บี เอฟ 110 อยู่ถึง 1,290 ลำ
แม้จะมีประสิทธิภาพสูงเพียงใดก็ตาม แต่เครื่องบิน บี เอฟ 109 ก็สามารถบินแสดงแสนยานุภาพเหนือเกาะอังกฤษได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีน้ำมันเหลือเพียงพอในการบินกลับฐาน ทั้งที่ด้วยขีดจำกัดดังกล่าวทำให้นักบินเยอรมันถึงกับบอกว่า เยอรมันเหมือนสุนัขที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ แม้ว่ามันต้องการโจมตีข้าศึกมากมายเท่าใด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะสายโซ่ที่มีอยู่รั้งคอมันเอาไว้นั่นเองภายหลังจากที่เยอรมันพิชิตเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศสแล้ว กองทัพเยอรมันก็รุกมาอยู่ที่ชายฝั่งของฝรั่งเศสตรงข้ามกับเกาะอังกฤษ ฮิตเลอร์ก็วางแผนที่จะบุกเกาะอังกฤษ เป็นขั้นตอนต่อไป โดยมุ่งบุกไปทางตอนใต้ของเกาะ ภายใต้ชื่อยุทธการ สิงโตทะเล (Sealion) ซึ่งความสำเร็จของยุทธการนี้ จะขึ้นอยู่กับการทำลายกองทัพอากาศของอังกฤษ (Royal Air Forces's fighter Command) โดยกองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe)