ห้องเรียนครูวัชรี กมลเสรีรัตน์ ชั้น ม. 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์ รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย 1 ส31103
สวัสดีค่ะ นักเรียนชั้นม. 4 ที่รักทุกคน
ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 นักเรียนชั้นม. 4 ทุกคนจะต้องเรียนในรายวิชา ประวัติศาสตร์ไทย 1 รหัส ส31103 ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้คือ
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เวลา ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ และวิธีการทางประวัติศาสตร์
- เวลา ยุคสมัย และศักราชในประวัติศาสตร์ไทย
- การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
- วิธีการทางประวัติศาสตร์
- การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง พัฒนาทางประวัติศาสตร์ไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน
- ประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย
- แนวความคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
- อาณาจักรโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีต่อสังคมไทย
- ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย
- การปฏิรูปการเมืองการปกครอง
- การยกเลิกระบบไพร่ และการเลิกทาส
- บทบาทของสตรีไทย
- หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการพัฒนาชาติไทย
- การเสด็จประพาสยุโรปของรัชกาลที่ 5
- พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย
- งานชิ้นที่ 1 กำหนดส่งได้ตั้งแต่ บัดนี้ - 30 มิถุนายน 2554 เวลา 24.00 น
คำสั่ง ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ไปสืบค้นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีการใช้เวลาและยุคสมัยมากลุ่มละ 1 เหตุการณ์แล้วให้นักเรียนวิเคราะห์เหตุการณ์ตามประเด็นที่กำหนดได้แก่
1. ข้อความที่ค้นคว้ามาแสดงถึงช่วงเวลา และยุคสมัยใด
2. ยุคสมัยที่เกิดเหตุการณ์นั้น มีลักษณะเด่นอย่างไร
3. การแบ่งเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์อย่างไรต่อการศึกษาประวัติศาสตร์
เมื่อค้นคว้าเสร็จแล้วให้นักเรียนนำลงไปสร้างเป็นบล๊อค ใน www. thaigoodview .com
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[1] ทั้งยังมีหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณในอาณาเขตดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
อาณาจักรสุโขทัยซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1781 ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ยังมี แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ อาณาจักรอยุธยาก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 1893 มีความยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรสุโขทัยเดิม เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก ก่อนจะล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310 พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการเสียดินแดนหลายครั้งให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่อาณาจักรสยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ อันนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านการก่อรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตการณ์การเมือง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2548
เนื้อหา
[ซ่อน]
การแบ่งยุคสมัย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย”
การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1"[2] ซึ่งการลำดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับกำเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน มีข้อเสนอใหม่ ๆ เกี่ยวกับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาบ้าง ที่สำคัญคือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เสนอถึงหัวข้อสำคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้[3]
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประเทศไทย
แผนที่แสดงรัฐโบราณในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน
- ชนพื้นเมืองและการอพยพเข้ามาในประเทศไทย - นักมานุษยวิทยาได้จัดประเภทมนุษย์สมัยโบราณรุ่นแรกในตระกูลออสโตเนเซียน ซึ่งเป็นพวกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อหลายพันปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ต่อมา มนุษย์ในตระกูลมอญและเขมรจะอพยพเข้ามาจากจีนหรืออินเดียด้วย ก่อนที่พวกไทยจะอพยพเข้ามาแย่งชิงดินแดนจากพวกละว้า ซึ่งเป็นชนชาติล้าหลังวัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกละว้า>
แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
รัฐโบราณในประเทศไทย
จากหลักฐานด้านโบราณคดี ตำนาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอำนาจในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว[4] โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง[5]
สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา
การล่มสลายของจักรวรรดิขะแมร์เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิดอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1781 อาณาจักรสุโขทัยขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์[6] ลักษณะการปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก เนื่องจากมีความใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองและราษฎร แต่ในรัชสมัยพญาลิไทก็ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธเข้ามา
ในช่วงเวลาเดียวกันอาณาจักรล้านนา ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1802 โดยพญามังราย ที่ขยายอำนาจมาจากลุ่มแม่น้ำกกและอิง สู่ลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ และทรงมีสัมพันธ์อันดีกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย อาณาจักรเชียงใหม่หรือล้านนา มีอำนาจสืบต่อมาในแถบลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับอาณาจักรอยุธยา หรือกรุงศรีอยุธยา ที่เรืองอำนาจในพุทธศตวรรษที่ 19-20 มีการทำสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเชียงใหม่ได้ปราชัยต่อพม่า ในปีพ.ศ. 2101 ถูกพม่ายึดครองอีกครั้งในราวปี 2310 กระทั่งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนา โดยหลังจากนั้น พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงปกครองอาณาจักรล้านนา ในฐานะประเทศราชสยาม
สาเหตุการเลือกอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
นักวิชาการให้เหตุผลในการเลือกเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยไว้ 2 เหตุผล ได้แก่:
ทั้งนี้ เหตุผลทั้งสองประการก็ยังไม่เป้นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันท์นัก[7]
สมัยอาณาจักรอยุธยา
พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 ซึ่งในช่วงแรกนั้นก็มิได้เป็นศูนย์กลางของชาวไทยในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนทั้งปวง แต่ด้วยความเข้มแข็งที่ทวีเพิ่มขึ้นประกอบกับวิธีการทางการสร้างความสัมพันธ์กับชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุดอยุธยาก็สามารถรวบรวมกลุ่มชาวไทยต่าง ๆ ในดินแดนแถบนี้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจได้ นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการติดต่อกับต่างประเทศอยู่หลายชาติ โดยชาวโปรตุเกสได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้น ชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ชาวดัตช์ ชาวฝรั่งเศส ชาวจีน และชาวญี่ปุ่น
ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น การสงครามอันยาวนานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในที่สุด ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีต่อมา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจักรล้านนา ไปจรดคาบสมุทรมลายูทางทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ทำให้ถูกสังหารโดยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทำสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลทำให้อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในปี พ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร เริ่มยุคสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้แคว้นล้านนาปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สงครามเก้าทัพ, สงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจนกบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และอานามสยามยุทธกับญวน
ในช่วงนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด[8] มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ[8] ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น สนธิสัญญาเบอร์นี และสนธิสัญญาโรเบิร์ต[8] แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้าฝิ่นอันได้กำไรมหาศาล[8] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก
การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนินนโยบายทอดไมตรีกับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก และเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถรักษาเอกราชของตนไว้ได้
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยอย่างมาก และทำให้สถาบันกษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก
ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ในระบอบเผด็จการทหาร
สงครามโลกครั้งที่สอง
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกรานอินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่ การรบที่เกาะช้าง
ต่อมา หลังจากการโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น
สงครามเย็น
รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามเย็น ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม
ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน
อ้างอิง
จัดทำโดย
น.ส. ภาวิณี อภัยศิลา ม.4/2 เลขที่20
http://www.thaigoodview.com/node/102847
ส่งงานค่ะ
จัดทำโดย
2. น.ส.ปานปวี บุญญาลาภาเลิศ ม.4/1 เลขที่ 22
5. น.ส.ชลธิชา โชติประพาฬ ม.4/1 เลขที่ 12
http://www.thaigoodview.com/node/102844
จัดทำโดย
นาย ณัฐวุฒิ แก่นจันทร์ ม.4/4 เลขที่ 12
นาย คุณากร ญานวินโย ม.4/4 เลขที่ 11
นาย วีระพงษ์ นันทสิงห์ ม.4/4 เลขที่ 16
น.ส สิราภรณ์ น้อยเจริญ ม.4/4 เลขที่ 18
นาย สถาพร มั่นเขียว ม.4/4 เลขที่ 24
นาย เมธาวัตร แสงบุราน ม.4/4 เลขที่ 26
http://www.thaigoodview.com/node/102844
จัดทำโดย
นาย ณัฐวุฒิ แก่นจันทร์ ม.4/4 เลขที่ 12
นาย คุณากร ญานวินโย ม.4/4 เลขที่ 11
นาย วีระพงษ์ นันทสิงห์ ม.4/4 เลขที่ 16
น.ส สิราภรณ์ น้อยเจริญ ม.4/4 เลขที่ 18
นาย สถาพร มั่นเขียว ม.4/4 เลขที่ 24
นาย เมธาวัตร แสงบุราน ม.4/4 เลขที่ 26
http://www.thaigoodview.com/node/102834
ผู้จัดทำ
นาย พงศกร หึกขุนทด ม. 4/3 เลขที่ี 23
นาย จตุพร ทองพันธ์ ม. 4/3 เลขที่ี 21
นาย ธีรศักดิ์ ศรีไพบูลย์ ม.4/3 เลขที่ 2
นาย วันเฉลิม ชูเชิด ม.4/3 เลขที่ 29
นาย พสุ อัศวฤทธิพรหม์ ม.4/3 เลขที่ 13
http://www.thaigoodview.com/node/102677
จัดทำโดย
นายณัฐวัฒน์ บุญตา เลขที่4 ชั้น4/2
นางสาวจุฑามณี เกียรติธรรมกุล เลขที่ 5 ชั้น4/2
นางสาวศิริพร จุ้ยขำ เลขที่ 17 ชั้น4/2
นางสาวน้ำทอง แจ่มฟ้า เลขที่ 22 ชั้น4/2
นายศุภวัช ชุนหศิริลักษญ์ เลขที่29 ชั้น4/2
อ้างอิง www.thaigoodview.com
ส่งงานครับ
http://www.thaigoodview.com/node/102730
รายชื่อสมาชิก
1. นาย วิทวัส ใจจิตร์มั่น ชั้น ม.4/1 เลขที่ 19
2. นาย ปัญญากร บุญปรุง ชั้น ม.4/1 เลขที่ 1
ส่งงานค่ะครู
http://www.thaigoodview.com/node/102598
ผู้จัดทำ*
น.ส. แสงเดือน มุกเข็ม เลขที่ 24 ม.4/3
น.ส. สุชาดา เกตุแก้ว เลขที่ 7 ม.4/3
น.ส. จิราภรณ์ กายชาติ เลขที่ 4 ม.4/3
น.ส. ชลธิศา สุวรรณนิคม เลขที่ 5 ม.4/3
น.ส. สุภัสชา ทองเจริญ เลขที่ 9 ม.4/3
http://www.thaigoodview.com/node/50814
จัดทำโดย
น.ส. สโรชา โตศักดิ์สิทธิ์ เลขที่ 29
น.ส. มะลิวัลย์ นามศรี เลขที่ 26
น.ส. อณุภา ดาทอง เลขที่ 30
น.ส. ดวงใจ ขนะขัย เลขที่ 14
น.ส. ปิยนุช แก่นสาร เลขที่ 24
ม.4/1
http://www.thaigoodview.com/node/102284
รายชื่อสมาชิก
น.ส. ชฎาธาล พู่ทอง เลขที่ 14 ม.4/3
น.ส. ณิรชา นำวงศ์ษา เลขที่ 15 ม.4/3
น.ส. แพรพลอย ด่านสุนทรวงศ์ เลขที่ 16 ม.4/3
น.ส. กฤชอร ลี เลขที่ 17 ม.4/3
น.ส. ศุภกานต์ ศุภวรวงศ์ เลขที่ 18 ม.4/3
http://www.thaigoodview.com/node/100666
จัดทำโดย
1. นาย ธิติ ประเสริฐจิตสรร ม.4/1 เลขที่ 17
2. นาย อรรถพล แสงหมี ม.4/1 เลขที่ 33
3. นาย ธนพล สกุลพลอยนุช ม.4/1 เลขที่ 10
4. นายจิรพันธ์ จุติลาภถาวร ม.4/1 เลขที่ 9
5. นายสุรศักดิ์ นุตะระ ม.4/1 เลขที่ 11
http://www.thaigoodview.com/node/99523
น.ส.ปิยะพร น้อยเจริญ เลขที่4 ม.4/1
น.ส.ภรธกร วิชลภัทรสมุทร เลขที่ 5 ม.4/1
น.ส.วริยา คุ้มแจ้ง เลขที่ 6 ม.4/1
น.ส.สัญญลักษณ์ อินทรประสิทธิ์ เลขที่ 7 ม.4/1
น.ส.อโรชา คำจ้อย เลขที่ 8 ม.4/1
http://www.thaigoodview.com/node/101119
รายชื่อสมาชิก
http://www.thaigoodview.com/node/100666
จัดทำโดย
1. นาย ธิติ ประเสริฐจิตสรร ม.4/1 เลขที่ 17
2. นาย อรรถพล แสงหมี ม.4/1 เลขที่ 33
3. นาย ธนพล สกุลพลอยนุช ม.4/1 เลขที่ 10
4. นายจิรพันธ์ จุติลาภถาวร ม.4/1 เลขที่ 9
5. นายสุรศักดิ์ นุตะระ ม.4/1 เลขที่ 11
ส่งงานชิ้นที่ 1
การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า"สมเด็จพระปิยมหาราช"
สมัยที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศเพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อๆ กันเรื่อยไป
กฏหมาย ที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลดต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้ อายุทาสถึง 100 ปีก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้วก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึงเมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง
พอถึงปี พ.ศ. 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้นเรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124"(พ.ศ. 2448) เลิกเรื่องลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไปการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้วให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด
การเลิกทาสเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐทรงพระอุตสาหะจัดการในเรื่องนี้เป็นเวลานานกว่าสามสิบปีจนบรรลุผลสมดังพระราชประสงค์ โดยมิได้ทรงท้อถอย ทรงรอบคอบ เห็นการณ์ไกลเป็นเลิศพระองค์ทรงดำเนินการได้เรียบร้อยโดยมิได้เสียเลือดเนื้อหรือเกิดการเดือดร้อนประการใด เยี่ยงการเลิกทาสในนานาประเทศพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ย่อมยังประโยชน์ให้แก่ชาวไทยและประเทศชาติเป็นอเนกประการ
1.ข้อความที่ค้นคว้ามาแสดงถึงช่วงเวลาและยุคสมัยใด
เกิดขึ้นในยุครัตนโกสินทร์ สมัย พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าฯ ร.5 เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ในเลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417
2.ยุคสมัยที่เกิดเหตุการณ์นั้นมีลักษณะเด่นอย่างไร
มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการยกเลิกทาสเพราะว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นทาสกันตลอดชีวิต เพื่อให้ทาสมีอสระในการประกอบอาชีพ
3.การแบ่งเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์อย่างไรต่อการศึกษาประวัติศาสตร์
การศึกษาปรวัติศสาสตร์จะต้องมีเวาลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอเนื่องจากเป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ว่าสมัยก่อนมีการดำรงชีวิตอยู่อย่างไรมีแนวความคิดอย่างไร มีการประดิษฐ์ คิดค้นผลงานอย่างไรการดำรงชีวิตของมนุษย์เกี่ยวข้องกับเวลา เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ในการดำเนินชีวิต
ที่มา : http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA
รายชื่อกลุ่ม
1.
นางสาว สุธารัตน์ อ่ำฟัก เลขที่ 16 ม.4/1
2.
นาย พีระพล ธรรมศิริ เลขที่ 18 ม.4/1
3.
นางสาว นภัสสร ประสพผล เลขที่ 20 ม.4/1
4.
นางสาว พิชญาภา ลีนะธรรม เลขที่ 24 ม.4/1
5.
นางสาว วรางคณา แซ่ลิ้ม เลขที่28 ม.4/1
http://www.thaigoodview.com/node/102506
จัดทำโดย
1.น.ส. บงกช เพ่งหารัพย์ ม.4/2 เลขที่9
2.นาย สรวิชญ์ จันทรกุล ม.4/2 เลขที่13
3.น.ส. ขนิษฐา เลื่อนฤทธิ์ ม.4/2 เลขที่ 23
4.น.ส. สุชาดา ตันน้อย ม.4/2 เลขที่ 24
5.นาย รชต หงส์ฤชัย ม.4/2 เลขที่ 27
อ้างอิง http://www.sangkomdelivery2u.ob.tc/p6.html
http://learn.pbi.ac.th/html/social2-3.htm