การเสียกรูงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ประวัติ
สภาพบ้านเมือง
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2301 อันเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศข้าราชการเกิดความระส่ำระสาย มีบางคนลาออกจากราชการบ้าน เนื่องจากบ้านเมืองแปรปรวนเพราะฝ่ายใน (พระราชชายา)ได้มีอำนาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินผู้มีความผิดฐานกบถ ฆ่าคนตาย เอาไฟเผาบ้านเรือนจะต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิตแต่ความโลภของฝ่ายในให้เปลี่ยนเป็นริบทรัพย์สินริบได้ก็ตกเป็นของฝ่ายในทั้งสิ้น พวกข้าราชการเห็นความโลภของฝ่ายในก็แสวงหาผลประโยชน์กับผู้ต้องหาคดีให้ได้มากที่สุดที่จะหาได้จะได้แบ่งเอาบ้าง ความเดือดร้อนลำเค็ญก็ยิ่งทับถมราษฎรมากขึ้น
การรุกรานของพม่า
ในปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศเพื่อแผ่อิทธิพลเข้าไปในมะริดและตะนาวศรีและกำจัดภัยคุกคามจากอยุธยาที่มักจะยุให้หัวเมืองพม่าที่อยู่ไกลกระด้างกระเดื่องอยู่เสมอหรือไม่ระองค์ก็ทรงเห็นว่าอาณาจักรอยุธยามีความอ่อนแอนั้นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ อาณาจักรอยุธยาว่างศึกจากอาณาจักรพม่ามาเป็นเวลานานกว่า150 ปีแล้ว แต่ทว่ากองทัพพม่าไม่สามารถตีได้กรุงศรีอยุธยาได้เนื่องจากการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา อันทำให้กองทัพพม่ายกกลับไปเสียก่อน สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ซึ่งเคยทรงตัดสินพระทัยปลีกพระองค์ไปผนวชด้วยไม่มีพระราชประสงค์ในบัลลังก์แต่ได้กลับมาราชาภิเษกอีกหนหนึ่งเพื่อบัญชาการรบในสมัยสงครามพระเจ้าอลองพญาตามคำทูลเชิญของพระเชษฐานั้นด้วย
การทัพ
ฝ่ายพม่า
พระเจ้ามังระทรงดำริว่า"หากจะส่งเนเมียวสีหบดีนำกองทัพไปทำสงครามกับอยุธยาเพียงด้านเดียวเห็นจะไม่พอ" จึงโปรดให้มังมหานรธานำทัพรุกรานมาอีกด้านหนึ่งด้วยโดยก่อนหน้านั้น กองทัพทั้งสองได้รับมอบหมายให้บรรลุภารกิจอื่นเสียก่อนคือ การปราบกบฎต่อรัฐบาลพม่า ทั้งทางเหนือและทางใต้ซึ่งจะเป็นการช่วยเสริมความสำเร็จให้แก่เป้าหมายหลักในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
ฝ่ายอยุธยา
ทางด้านการปฏิบัติของอาณาจักรอยุธยาระหว่างการทัพทั้งสองนั้นกษัตริย์อยุธยาได้ทรงส่งกองทัพมาช่วยเหลือเชียงใหม่ให้เป็นกบฎต่อพม่า
และช่วยหัวเมืองมอญที่เมืองทวายให้ประกาศอิสรภาพทำให้กองทัพพม่าต้องส่งกองทัพไปตีดินแดนทั้งสองคืนเลยไปจนถึงอาณาจักรล้านช้าง เพื่อตัดชัยชนะของกรุงศรีอยุธยา และในการรุกรานกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้ามังระกองทัพอยุธยาก็ยังคงเตรียมตัวรับกองทัพพม่าในพระนครอีกเช่นเดิม
การตีหัวเมืองรอบนอก
กองทัพฝ่ายเหนือของอาณาจักรพม่า ภายใต้การบัญชาการของเนเมียวสีหบดีได้จัดแบ่งกำลังพลออกเป็นทัพบกและทัพเรือทั้งหมดยกออกจากลำปางในเดือนกันยายน พ.ศ. 2308 มุ่งเข้าตีเมืองตาก ระแหงกำแพงเพชร สวรรคโลก สุโขทัย ยะตะมาหรือระตะมะและพิษณุโลกตามลำดับในบรรดาเมืองเหล่านี้ เจ้าเมืองระแหงและกำแพงเพชรยอมอ่อนน้อมต่อข้าศึกเสร็จแล้ว เนเมียวสีหบดีจึงตั้งกองบัญชาการกองทัพเอาไว้หลังจากนั้นก็ได้แบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนส่วนหนึ่งมีติรินานตะเตงจานและจอคองจอตูเป็นแม่ทัพ ให้ตีเมืองละเลงพิชัยธานี นครสวรรค์ และอ่างทองต่อไป
ส่วนกองทัพฝ่ายใต้ ภายใต้การบัญชาการของมหานรธา ยกมาจากทวายมาสามารถตีเมืองเพชรบุรีได้ภายในระยะเวลาอันสั้นจากนั้นจึงเคลื่อนมายังราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ไทรโยค สวานโปงและซาแลงตามลำดับ ซึ่งในจำนวนนี้เมืองที่เจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพพม่า ได้แก่ เมืองราชบุรี เมืองสุพรรณบุรี และเมืองไทรโยค เมื่อมาถึงเมืองซาแลงมหานรธาสั่งจัดทัพใหม่ขึ้น โดยเลือกไพร่พล ช้างและม้าจากเมืองต่าง ๆ
ให้เมจขี กามะณีสานตะคุมไปเป็นทัพหน้า และมหานรธาคุมกองทัพตามไปทั้งหมดมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา
การปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าเอกทัศโปรดให้รวบรวมประชาชนและเสบียงเข้ามาไว้ในพระนครและเตรียมการป้องกันไว้อย่างแน่นหนาโดยรอคอยฤดูน้ำหลากและอาศัยยุทธวิธีคอยตีซ้ำเมื่อกองทัพพม่าถอนกำลังออกไปอย่างไรก็ตาม ฝ่ายอยุธยาก็มิได้ตั้งรับอยู่ในพระนครแต่เพียงฝ่ายเดียวยังส่งกำลังออกไปโจมตีค่ายเนเมียวสีหบดีและค่ายมังมหานรธาอยู่หลายครั้งส่วนทางด้านกองทัพพม่ากระจายกำลังออกล้อมกรุงเอาไว้ทุกด้านพยายามเข้าประชิดกำแพงพระนครหลายครั้งก็ไม่ประสบผลจึงยังมีราษฎรหลบหนีภัยพม่าเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงอยู่เสมอมาสำหรับเสบียงอาหารในกรุงก็ยังคงบริบูรณ์ดีอยู่ เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก มังมหานรธาให้กองทัพรวบรวมเสบียงอาหารสำรองไว้ใช้ให้ทหารปลูกข้าวในที่นาละแวกใกล้เคียงอีกทั้งให้ทหารไปสร้างป้อมค่ายในระยะที่น้ำไม่ท่วมถึงพร้อมกับตั้งเจตนาแน่วแน่ไม่ปล่อยให้กรุงศรีอยุธยาพ้นมือเป็นอันขาดในระหว่างวันที่ 5-10 หลังฤดูน้ำหลากกองทัพอยุธยาถูกส่งออกไปโจมตีค่ายมังมหานรธาและค่ายเนเมียวสีหบดีครั้งแรกมีพระยาตาน และครั้งที่สองมีพระยากูระติเป็นแม่ทัพตามลำดับแต่ก็ถูกตีแตกกลับมาทั้งสองครั้งในกรุงจึงเตรียมการป้องกันพระนครอย่างแน่นหนาแทน ในระหว่างที่อยู่ภายใต้วงล้อมนี้การวางแนวปะทะของอยุธยาไม่สามารถพลิกผลของสถานการณ์ได้เลยในพระนครเริ่มขาดแคลนอาหาร ประสิทธิภาพและขวัญกำลังใจของกองทัพเสื่อมโทรมมังมหานรธาเสนอในที่ประชุมแม่ทัพนายกองแนะให้ใช้อุบายลอบขุดอุโมงค์เข้าไปในกรุง พร้อมกับสร้างค่ายทหารขึ้น 27 ค่ายล้อมรอบพระนคร ซึ่งรวมไปถึงเพนียดวัดสามพิหาร วัดมณฑบ วัดนางปลื้ม และวัดศรีโพธิ์เพื่อจะได้ยิงปืนใหญ่ด้วยความแม่นยำยิ่งขึ้นอันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพหัวเมืองทางเหนือราว 20,000 นาย มาช่วยอยุธยา แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปอย่างง่ายดาย
เสียกรุง
ครั้นถึงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณบ่ายสามโมง พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัยและยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร จากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่ายพอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา 2 ทุ่มแม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้านพม่าเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อนทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง
คำถาม
1. ข้อความที่ค้นคว้ามาแสดงถึงช่วงเวลา และยุคสมัยใด
ตอบ พ.ศ.2309 - พ.ศ.2310 สมัยอยุธยา
2. ยุคสมัยที่เกิดเหตุการณ์นั้น มีลักษณะเด่นอย่างไร
ตอบ การรบของกองทัพของพม่า ซึ่งทำให้ตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้
3. การแบ่งเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์อย่างไรต่อการศึกษาประวัติศาสตร์
ตอบ การแบ่งยุึคสมัยทางประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ที่มาศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามยุคสมัยนั้นๆ ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
จัดทำโดย
1. นาย ธิติ ประเสริฐจิตสรร ม.4/1 เลขที่ 17
2. นาย อรรถพล แสงหมี ม.4/1 เลขที่ 33
3. นาย ธนพล สกุลพลอยนุช ม.4/1 เลขที่ 10
4. นายจิรพันธ์ จุติลาภถาวร ม.4/1 เลขที่ 9
5. นายสุรศักดิ์ นุตะระ ม.4/1 เลขที่ 11
ขาดหลักฐานอ้างอิง และให้พิมพ์จัดหน้าใหม่