จากภาพตัวอย่าง จะเห็นว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในหมวดหมู่ใหญ่ ประกอบด้วยหลายหมวดหมู่ย่อย กล่าวคือ
ไฟลัมหนึ่งแบ่งย่อยได้หลายคลาส คลาสหนึ่งแบ่งย่อยได้หลายออเดอร์ ออร์เดอร์หนึ่งมีหลายแฟมิลี แฟมิลีหนึ่งมีหลายจีนัส
แสดงว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในหมวดหมู่ย่อยนั้น ยังมีลักษณะแตกต่างกันอยู่มากมาย แต่ในลำดับย่อยที่สุดคือสปีชีส์
เป็นหมวดหมู่เฉพาะของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้นสปีชีส์ หมายถึง หน่วยย่อยที่สุดในการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน จะมีโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ เหมือนกันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทางบรรพบุรุษ
และ ที่สำคัญที่สุด คือ สามารถผสมพันธุ์กันได้ และลูกที่ได้จะต้องไม่เป็นหมัน




2.2 ชื่อของสิ่งมีชีวิต
       เนื่องจากการเรียกชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งจะแตกต่างกันไปตามภาษาและท้องถิ่นอีกทั้งมีการเรียกชื่อกันอย่างสับสน ดังนั้นเพื่อความเข้าใจตรงกันนักวิทยาศาสตร์จึงต้องใช้ชื่อที่เป็นสากลในการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต โดยในค.ศ.1753 คาโรลัส ลินเนียส(CarolusLinnaeus)นักชีววิทยาชาวสวีเดนได้คิดวิธีการเรียกชื่อสิ่งมีชีวิตเพื่อการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตตามระบบไบโนเมียล
(Binomialnomenclature)นปัจจุบันเรียกว่าชื่อวิทยาศาสตร์(Scienctificnames)โดยกำหนดภาษาที่ใช้ตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตเป็นภาษาลาติน
หรือภาษาอื่นที่เปลี่ยนแปลงเป็นภาษาลาติน นอกจากนี้ชื่อวิทยาศาสตร์จะต้องประกอบด้วยคำ 2 คำ คำแรกเป็นชื่อสกุล (Generic name)
ส่วนคำหลังเป็นชื่อ สเปซิฟิก เอพิเทต (Specific epithet) ระบุชนิดหรือลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต

 

ภาพ คาโรลัส ลินเนียส
ที่มา : http://www.bloggang.com/data/vinitsiri/picture/1283926012.jpg

 

กฎการตั้งชื่อ
    มีหลักเกณฑ์ในการเขียนดังนี้
       1. ชื่อทวินามจะเป็นภาษาละติน ประกอบด้วยคำศัพท์ 2 คำ คือ สกุล (genus) และ สปีชีส์ (species)
       2. ชื่อทวินามมักจะถูกพิมพ์ด้วยตัวเอน เช่น Homo sapiens หากเป็นการเขียนด้วยลายมือควรขีดเส้นใต้ลงไปแทน
       3. คำศัพท์คำแรก (ชื่อสกุล) ต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ นอกจากนั้นใช้อักษรตัวเล็กทั้งหมดเช่น Canis lupus
หรือ Anthus hodgsoni แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ตั้งชื่อทวินามไว้ก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 และขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่อยู่แล้ว
ไม่ต้องเขียนเป็นตัวเล็กอีก เช่น Carolus Linnaeus
       4. ในสปีชีส์ย่อย ชื่อจะประกอบด้วยสามส่วนและสามารถเขียนได้สองแบบ โดยพืชและสัตว์จะเขียนต่างกัน เช่น
เสือโคร่งเบงกอล  คือ Panthera tigris tigris และ เสือโคร่งไซบีเรียคือ Panthera tigris altaica    ต้นเอลเดอร์ดำยุโรป
คือSambucusnigrasubsp.nigraและเอลเดอร์ดำอเมริกาคือ Sambucus nigra subsp. canadensis
       5. ในตำราเรียน มักมีชื่อสกุลย่อ หรือชื่อสกุลเต็มของนักวิทยาศาสตร์ผู้จัดทำชื่อนั้นต่อท้าย โดยชื่อสกุลย่อใช้กับพืช
ส่วนชื่อสกุลเต็มใช้กับสัตว์ ในบางกรณีถ้าชื่อสปีชีส์เคยถูกกำหนดให้ชื่อสกุลที่ต่างออกไปจากชื่อใน ปัจจุบัน
จะคร่อมชื่อสกุลนักวิทยาศาสตร์กับปีที่จัดทำไว้ เช่น Amaranthus retroflexus L., Passer domesticus (Linnaeus, 1758)
ที่ใส่วงเล็บเพราะในอดีตชื่อหลังอยู่ในสกุล Fringilla
       6. หากใช้กับชื่อสามัญ เรามักใส่ชื่อทวินามไว้ในวงเล็บต่อท้ายชื่อสามัญ เช่น"นกกระจอกบ้าน(Passerdomesticus)
กำลังมีจำนวนลดลงอย่างน่าตกใจ"
       7. การเขียนชื่อทวินามเป็นครั้งแรกในรายงานหรือสิ่งพิมพ์ เราเขียนเป็นชื่อเต็มก่อน หลังจากนั้นเราสามารถย่อชื่อสกุล
ให้สั้นลงเป็นอักษรตัวแรกของชื่อสกุลและตาม ด้วยจุด เช่น Canis lupus ย่อเป็น C. lupus ด้วยเหตุที่เราสามารถย่อชื่อในลักษณะนี้ได้ ทำให้ชื่อย่อเป็นที่รู้จักและกล่าวถึงมากกว่าชื่อเต็ม เช่น T. Rex
คือ Tyrannosaurus rex หรือ E. coli คือ Escherichia coli เป็นต้น
       8. บางกรณี เราเขียน "sp." (สำหรับสัตว์) หรือ "spec." (สำหรับพืช) ไว้ท้ายชื่อสกุล ในกรณีที่ไม่ต้องการเจาะจงชื่อสปีชีส์
และเขียน "spp." ในกรณีที่ต้องการกล่าวถึงหลายสปีชีส์ ตัวอย่างเช่น "Canis sp.", หมายถึงสปีชีส์หนึ่งในสกุล Canis
       9. สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งอาจมีชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าหนึ่งชื่อ ให้ใช้ชื่อตั้งขึ้นก่อนเป็นชื่อหลัก ส่วนชื่ออื่นเป็นชื่อพ้อง
      10. ชื่อวิทยาศาสตร์มักจะบอกลักษณะบางอย่างกับสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น