In Vitro Fertilization Embryo transfer, IVF-ET
การทำเด็กหลอดแก้วเป็นภาษาที่พูดกันทั่วไป มีหมายความถึงกระบวนการกระตุ้นไข่ในรังไข่ให้เจริญเติบโตครั้งละหลายๆฟอง แล้วเจาะดูดเอาออกมาผสมกับอสุจิที่เตรียมไว้ให้เกิดการปฏิสนธิในหลอดแก้ว หรือในห้องทดลอง เมื่อมีการแบ่งตัวของตัวอ่อนในระยะเหมาะสมก็นำกลับใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของ แม่ เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์และเจริญคลอดออกมาเป็นทารกต่อไป
การทำเด็กหลอดแก้ว เรามักทำเป็นขั้นตอนท้าย ๆ ของกระบวนการช่วยการมีบุตรยาก หลังจากที่รักษาโดยวิธีง่าย ๆ อย่างอื่นแล้วไม่ตั้งครรภ์ ได้แก่ การกระตุ้นการตกไข่ การผสมในโพรงมดลูก และการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของมดลูกและรังไข่ ฯลฯ เพราะการทำเด็กหลอดแก้วเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ สถานที่ และบุคคลากรที่มากกว่าและมีความจำเพาะต่องานมากกว่าธรรมดา จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายมากกว่าและอาจมีภาวะแทรกซ้อนมากกว่าด้วย
การทำเด็กหลอดแก้วในคนประสบความสำเร็จครั้งแรกเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว และมีการแตกแขนงออกไปทำ GIFT, CIFT และ ICSI
ประโยชน์การทำเด็กหลอดแก้ว คือช่วยให้คู่สมรสมีโอกาสตั้งครรภ์มีบุตรได้
ที่มา www.vibhavadi.com/fertility/backend/cmsimg/cms125img2.jpg
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
หลังจากประเมินแล้วว่าฝ่ายชายสามารถผลิตอสุจิได้ ฝ่ายหญิงมีรังไข่ที่ยังทำงานผลิตไข่ได้มีมดลูกที่ตั้งครรภ์ได้และสุขภาพไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์แล้ว
มีขั้นตอนดังนี้
กระตุ้น รังไข่ เพื่อให้ไข่ในรังไข่เจริญคราวละหลาย ๆ ฟอง (ตามธรรมชาติ จะมีการเจริญขึ้นคราวละฟองเดียว — เมื่อกระต้นให้ได้ไข่หลาย ๆ ฟองก็สามารถทำปฏิสนธิให้เกิดตัวอ่อนได้หลายตัวอ่อนในคราวเดียวกัน และสามารถใส่ตัวอ่อนในโพรงมดลูกได้คราวละมากกว่า 1 ตัวอ่อน เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ และเก็บแช่แข็งตัวอ่อนที่เหลือไว้ใช้ต่อได้ด้วย)
ยาที่ใช้ในการ กระตุ้นรังไข่มีหลายตัว แล้วแต่แพทย์จะเลือกใช้ ในช่วงเวลาและจุดประสงค์จำเพาะที่แตกต่างกัน ได้แก่ Enantone, Cetrotide, Pergonal, Gonal-F, Pregnyl, Ovidel
หลักการคือพยายามกระตุ้นไข่ ให้เจริญเติบโตคราวละหลาย ๆ ฟอง และในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้ฮอร์โมนของรังไข่ตอบสนองผิดปกติ หรือ มีการตกไข่ก่อนเวลาอันควร (เราต้องการกำหนดเวลาที่ไข่ควรจะตก เพื่อจะได้เจาะดูดเอาไข่ออกมาก่อนที่มันจะตกหายไปในช่องท้อง) ต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome – OHSS) และระวังอาการจากการแพ้ยา
มี หลายเหตุการณ์ที่การกระตุ้นรังไข่เพื่อทำเด็กหลอดแก้วต้องหยุดกลางคัน และยกเลิกในรอบนั้น ๆ เช่น รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (ฮอร์โมนขึ้นมากเกิน) หรือ น้อยเกินไป (ได้ไข่เพียง 1-2 ฟอง) เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย หรือเพื่อไม่ให้เกิดความไม่คุ้มค่า จำเป็นต้องหยุดยาฉีด และไม่มีการเจาะไข่เกิดขึ้น
สิ่งที่ใช้ เป็นเครื่องชี้วัดความพอดี คือ จำนวนไข่ที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา และระดับฮอร์โมนที่สูงในเลือด ขณะไข่หลายฟองกำลังเจริญเติบโต นั่นคือ ท่านจะได้รับการทำอัลตราซาวนด์และการตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนเป็นระยะ ๆ ( ฮอร์โมนเอสโตรเจน) และคอยดูผลข้างเคียงของยาที่ให้ ที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ น้ำหนักขึ้น บวมน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้องน้อย เจ็บคัดเต้านม อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เป็นต้น
อาการรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป
การเกิดอาการนี้จะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงมากเกินไปร่วมกับมีการฉีด HCG เพื่อทำให้ไข่ตกเกิดขึ้น ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนคือ
- มีการคั่งของน้ำในร่างกาย และรั่วเข้ามาในช่องท้อง อาจรั่วเข้ามาในช่องปอดด้วย ทำให้อึดอัดท้องและหายใจลำบาก
- น้ำไหลออกจากเส้นเลือด ทำให้เลือดข้นเกินไป การไหลเวียนไม่ดี ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดในเส้นเลือด เกิดภาวะอุดตันและก้อนเลือดอาจหลุดไปอุดที่ปอดหรือที่สมองได้ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือพิการ
- รังไข่โตเกินขนาดทำให้มีโอกาสถุงรังไข่แตกหรือมีการปิดที่รังไข่ได้ (ทำให้ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน) อาการทั้ง 3 อย่างนี้ อาจจะต้องทำให้คนไข้อยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวนานขึ้น
เพื่อ คอยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอาการดังกล่าวข้างต้น จึงต้องมีการตรวจและเฝ้าระวัง คือ การเจาะเลือดตรวจระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและทำอัลตราซาวนด์รังไข่บ่อย ๆ การตรวจทั้ง 2 อย่างนี้นอกจากจะระวังเรื่องรังไข่ตอบสนองมากเกินไปแล้ว ยังช่วยบอกจำนวนและขนาดของรังไข่ที่ถูกกระตุ้น และระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ยาทำให้ไข่สุก และเวลาในการเจาะไข่ด้วย การเจาะเลือดบางทีก็ตรวจระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและ LH ด้วย (ระยะการกระตุ้นไข่จะอยู่ประมาณ 7 – 12 วัน)
การเจาะเลือดก็ทำให้มีผลข้างเคียงได้ เช่น
- เจ็บที่เข็มแทง
- ผิวหนัง ที่เจาะเลือดมีการอักเสบ ทำให้เจ็บ
- เส้นเลือดแตก เกิดรอยห้อเลือด
- ทำให้เลือดแข็งตัวในเส้นเลือดดำทำให้มีอาการเจ็บบริเวณนั้นได้
การทำอัลตราซาวนด์ มักจะตรวจผ่านทางช่องคลอดไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่รู้สึกไม่สะดวกเล็กน้อย หรือเจ็บได้บ้างในช่วงที่ไข่ใกล้จะตก
การ กระตุ้นรังไข่ด้วยยากระตุ้นการตกไข่ อาจทำให้ไข่หรือถุงไข่โตและไข่ตกหลายฟองในคราวเดียวได้ การที่มีไข่ตกหลายฟองในคราวเดียวกัน จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ แต่ก็มีโอกาสเกิดครรภ์แฝดได้ สถิติพบครรภ์แฝดจากการผสมเทียมในหลอดแก้ว 20-25% ของการตั้งครรภ์ แต่เราจะพยายามไม่ใส่ตัวอ่อนเกินคราวละ 3 ฟอง เพราะกลัวจะเกิดครรภ์แฝดหลายคนเกินไป และเกิดอันตรายต่อแม่และทารกได้
การเจาะไข่
การจะได้ไข่มาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว จะต้องเจาะผ่านทางช่องคลอดแล้วดูดออกมาโดย ใช้เครื่องอัลตราซาวนด์คอยบอกว่าถุงไข่และปลายเข็มที่เจาะรังไข่อยู่ตำแหน่ง ได แล้วดูดเอาน้ำในถุงไข่ซึ่งมีไข่อยู่ด้วยออกมา(เจาะผ่านทางช่องคลอดเพราะรัง ไข่อยู่ใกล้บริเวณนั้น และผนังช่องคลอดบาง เจาะง่าย กผลข้างเคียงน้อย) ปกติจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที สำหรับขั้นตอนนี้มีความเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนได้คือ
- ปฏิกริยาต่อยาดมสลบผิดปกติ
- ผลจากการแทงเข็มผ่านช่องคลอด เช่น มีการอักเสบ มีเลือดออก
- การแทงไปถูกอวัยวะอื่นใกล้เคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ เส้นเลือด เป็นต้น
(โอกาส ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ต้องกล่าวไว้ เพราะมีรายงาน บางคนต้องเย็บเพื่อหยุดเลือด หรือมีการอักเสบมาก จนอาจต้องตัดมดลูกได้)
การเก็บและเตรียมอสุจิ
ในขณะที่มีการเก็บไข่ สามีก็จะเก็บน้ำอสุจิออกมาโดยการช่วยตัวเอง (ก่อนถึงวันนี้สามี-ภรรยาต้องงดการหลับนอนด้วยกันและห้ามมีการหลั่งน้ำกาม 3-5 วัน) หลังจากเก็บน้ำเชื้อได้ก็จะถูกส่งไปห้องแล็บ (Lab.) เพื่อเตรียมเอาเฉพาะเชื้ออสุจิที่แข็งแรงออกมา เพื่อการผสมกับไข่ให้เกิดการปฏิสนธิ สามีบางคนมีความเครียดในวันนั้น ทำให้เก็บเชื้อไม่ได้ ถ้าใครคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นให้เก็บน้ำเชื้ออสุจิแช่แข็งในห้องปฏิบัติการ ของเราก่อน
การใส่เชื้ออสุจิในไข่และการเลี้ยงตัวอ่อน
หลัง จากดูดน้ำออกมาจากถุงไข่แล้ว น้ำนั้นจะถูกส่งเข้าห้องแล็บ (Lab.) เพื่อตรวจดูว่ามีไข่อยู่หรือเปล่า แล้วเอามาเก็บเตรียมการปฏิสนธิกับอสุจิ ตอนเจาะดูดไข่อาจได้ไข่ออกมาหลายฟอง ก็จะทำการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการทั้ง หมดทุกฟอง เพื่อให้ได้จำนวนตัวอ่อนมากที่สุด เพื่อตัวอ่อนที่เหลือจากการใส่ในโพรง มดลูกในครั้งแรก จะถูกแช่แข็งไว้แล้วนำกลับมาใส่ใหม่ในครั้งต่อไป
ถ้าไม่สำเร็จ(หรือแม้ถ้าสำเร็จในครั้งแรกมีการตั้งครรภ์) ส่วนที่เหลือจะนำมาใช้ให้มีการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป หรือหลังจากคลอดบุตรแล้วต้องการจะทำอีก (แต่ถ้าใครไม่ต้องการให้มีการแช่แข็งควรบอกแพทย์ เพื่อจะไม่เก็บตัวอ่อน ไว้ หรือเมื่อตั้งครรภ์แล้วตัวอ่อนที่แช่แข็งอยู่ ผู้ป่วยไม่ต้องการใช้ อาจนำออกมาทำลายหรือบริจาคให้ผู้อื่นได้ )
วันรุ่งขึ้นหลังจากใส่ เชื้ออสุจิรวมกับไข่ในหลอดแก้ว ก็จะสามารถตรวจดูได้ว่ามีการปฏิสนธิหรือไม่ โดยจะเห็นโปรนิวเคลียสของไข่และ ของอสุจิอยู่คู่กันในเซลล์ไข่ (เรียกเซลล์นี้ว่า Zygote) หลังจากนั้นจะปล่อยให้ Zygote เจริญและแบ่งตัวต่อไปอีก 2 วัน (เรียกตอนนี้ว่า ตัวอ่อน – Embryo) เป็น 4-8 เซลล์แล้วจึงนำไปใส่ในโพรงมดลูกของแม่บางคนต้องการจะเลี้ยงตัว อ่อนต่อไปอีก 2 วัน เพื่อให้เจริญเป็นบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) แล้วนำไปใส่ในโพรงมดลูก เพื่อหวังว่าจะมีการตั้งครรภ์มากขึ้นก็ได้ แต่การ เลี้ยงจนถึงบลาสโตซิสต์อาจเหลือจำนวนบลาสโตซิสต์น้อยลง (บางตัวหยุดการเจริญไปก่อนจะเป็นบลาสโตซิสต์ เพราะความไม่สมบูรณ์ของตัวอ่อนหรือจากสิ่งแวดล้อมในหลอดแก้ว ที่ไม่เหมือนธรรมชาติ 100 %อยู่แล้ว)
การใส่บลาสโตซิสต์อาจทำให้ อัตราการตั้งครรภ์ต่อการใส่ตัวอ่อนแต่ละครั้งสูงขึ้น 10-20% ซึ่งพ่อแม่จะต้องยอมรับที่ตัวอ่อนจะสลายไปบ้างก่อนได้บลาสโตซิสต์ และเป็นเรื่องที่ควรจะคุยปรึกษากันกับแพทย์ในกรณีมีการปฏิสนธิในไข่หลาย ๆ ฟอง
การใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูก
ตัวอ่อนจะถูกใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกในวันที่ 3 หรือวันที่ 5 หลังจากเจาะดูดออกมาจากรังไข่ ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงตัวอ่อนถึง 4-8 เซลล์ หรือถึง บลาสโตซิสต์ ตัวอ่อนจะถูกใส่เข้าในโพรงมดลูกโดยใส่ผ่านท่อพลาสติกเล็ก ๆ สอดเข้าทางปากมดลูก
ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่มาก ไม่ต้องใช้ยา สลบ เพราะไม่เจ็บและไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลค้างคืน จำนวนตัวอ่อนที่ใส่ใน แต่ละคราวจะไม่ให้เกิน 2-4 ตัวอ่อน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แฝดเด็กคราวละหลายคนเกินไปขณะ ใส่ตัวอ่อนอาจมีการบีบตัวของมดลูก ทำให้มีอาการปวดได้บ้าง การบีบตัวของมดลูกนี้อาจบีบให้ตัวอ่อนเข้าไปในท่อนำไข่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้บางราย (มีอุบัติการณ์ 2-5% ของการตั้งครรภ์) ดังนั้นเมื่อตั้งครรภ์โดยทำเด็กหลอดแก้วต้องคอยดูด้วยว่ามีการตั้งครรภ์นอก มดลูกแฝงอยู่ด้วยหรือไม่ (ซึ่งวินิจฉัยในระยะแรกได้ค่อนข้างยาก มักตรวจพบเมื่อท่อนำไข่ตรงที่ตัวอ่อนไปฝังตัวถูกยืดมาก หรือจนแตกแล้ว)
เมื่อใส่ตัวอ่อนในโพรงมดลูกแล้ว แม่จะต้องได้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเสริม อาจเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือสอดใส่ทางช่องคลอดในรูปของยาเม็ดหรือเจ ลเพื่อเสริมฮอร์โมนกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความสมบูรณ์ที่จะเลี้ยงตัว อ่อนได้ดี เมื่อถึง 2 สัปดาห์หลังจากดูดเจาะไข่ จะให้ตรวจเลือดดูฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (BHCG) ถ้ามีการตั้งครรภ์จะให้ฮอร์โมนเสริมต่อไปอีก จนตั้งครรภ์ 8-12 สัปดาห์จึงหยุดให้เพราะหลังจากนั้นฮอร์โมนจากรกเลี้ยงตัวอ่อนได้เองพอเพียง แล้ว
การใส่ยาโปรเจสเตอโรนที่ช่องคลอด อาจมีอาการข้างเคียง ดังนี้
- ช่องคลอดแห้ง
- ท้องอืด
- อาการหดหู่ อารมณ์แปรปรวน
- ประจำเดือนอาจมาช้าไปบ้าง
เปอร์เซ็นต์ การตั้งครรภ์ในแต่ละครั้งแปรตามจำนวนตัวอ่อนที่ใส่เข้าไป แต่ถ้าใส่มากเกินก็เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์แฝดที่มีเด็กมากเกิน ซึ่งเสี่ยงต่อการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด ฯลฯ (ดูเรื่องครรภ์แฝด) และค่าใช้จ่ายที่อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานก่อนคลอด เด็กได้รับการบริบาลนานและนอนโรงพยาบาลนานเพราะคลอดก่อนกำหนด และความยากลำบากในการเลี้ยงลูกคราวเดียวหลายคน
นอกจากนี้เมื่อตั้ง ครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้วแล้วก็มีโอกาสแท้งเหมือนกับการตั้งครรภ์โดย ธรรมชาติ มีโอกาสท้องทั้งในและนอกมดลูก (ถ้าเป็นท้องนอกมดลูกก็จำเป็นต้องรักษาโดยการส่องกล้องเข้าไปในช่องท้อง เพื่อรักษา)
ในกรณีที่มีตัวอ่อนเหลือแต่ละครั้ง คนไข้อาจจะเลือกตัดสินใจว่า
- แช่แข็งไว้ใส่ครั้งต่อไป
- บริจาค ให้คนอื่นที่ต้องการตัวอ่อน ( ซึ่งตามหลักการเราจะไม่ให้รู้ว่าให้กับใครและไม่ให้คนได้ตัวอ่อนทราบด้วยว่า ได้จากใครเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในภายหลัง)
- ปล่อยให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตในห้องทดลองจนหยุดการแบ่งตัวและสลายไปเอง
ข้อพิจารณาสำหรับคู่สมรสที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้ว
ขบวน การทำเทคนิคช่วยการเจริญพันธุ์ รวมถึงการทำเด็กหลอดแก้ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาทางจิตวิทยา เช่น ความเครียด ความกังวล ความผิดหวัง เสียใจได้ หดหู่ท้อถอย ขาดความมั่นใจในตัวเองและผลของการทำจนสำเร็จสมใจนั้นมากที่สุดไม่เกิน 50% ในแต่ละครั้ง จึงต้องทำใจไว้ก่อน และถ้าไม่มั่นใจในตัวเองอาจให้แพทย์แนะนำจิตแพทย์ให้ก่อนได้
นอกจากนี้ระหว่างขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว สตรีที่ทำต้องให้เวลาในการพบแพทย์เพื่อตรวจตามนัดทุกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 3-6 สัปดาห์ แล้วแต่ว่าจะทำแบบใด ฝ่ายชายต้องช่วยสนับสนุนและต้องพร้อมที่จะมานำน้ำเชื้ออสุจิออกมาเมื่อถึง เวลาเจาะดูดไข่ และทำการปฎิสนธิด้วย
การทำเด็กหลอดแก้วแต่ละครั้ง อาจมีเหตุต้องล้มเลิกกลางคันแล้วเริ่มต้นใหม่ภายหลัง ไม่มีการรับประกันการตั้งครรภ์และการได้บุตร มีเหตุผลมากมายทั้งที่อธิบายได้และอธิบายไม่ได้ที่ทำให้ไม่ตั้งครรภ์ ที่พอจะอธิบายได้ มีดังนี้
- ไม่ได้ไข่ที่ต้องการ เนื่องจาก
- กระตุ้นไข่แล้วถุงไข่ไม่เจริญ โตตามที่ต้องการ
- มีการตกไข่ (ไข่ตก) ก่อนถึงเวลาเจาะไข่
- ถุงไข่บางถุงเจาะดูดแล้วไม่ได้ไข่ออกมา
- มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานซึ่งยากที่จะเจาะไข่อย่างปลอดภัยได้ - ไข่ที่ดูดออกมาได้อาจไม่ปกติ
- มีปัญหาในการเอาอสุจิมาปฏิสนธิกับไข่ ได้แก่
- ถึงเวลาแล้ว ฝ่ายชายเอาเชื้ออสุจิออกมาไม่ได้
- ได้เชื้ออสุจิน้อยเกินกว่าที่จะปฏิสนธิได้
- ห้องปฏิบัติการมีความสามารถบางอย่างไม่พอ
- กรณีขอเชื้ออสุจิบริจาคแล้ว เมื่อถึงเวลาไม่ได้เชื้อมา - ไม่มีการปฏิสนธิ แม้ไข่และอสุจิจะตรวจแล้วว่าปกติ
- ตัวอ่อนไม่เจริญแบ่งตัวตามที่ควรจะเป็น
- การใส่ตัวอ่อนทำยาก หรือใส่ไม่ได้ หรือ ใส่ได้แต่ไม่มีการเกาะที่เยื่อบุโพรงมดลูก หรือไม่มีการเกาะ แต่ไม่เจริญ ต่อไป
- ขั้นตอนต่าง ของ การทำเด็กหลอดแก้ว ประสบปัญหาที่ไม่ได้คิดมาก่อน เช่น ความแปรปรวนสิ่งแวดล้อม เครื่องมือเสีย สภาพห้องปฏิบัติการผิดปกติ
- มีการไม่สบายของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
- ความผิดพลาดของปุถุชน ฯลฯ
เมื่อ มีการตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้ว ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ธรรมชาติ ได้แก่ การตั้งครรภ์แล้วเด็กไม่เจริญเติบโต การแท้ง การท้องนอกมดลูก การคลอดก่อนกำหนด การพิการแต่กำเนิด และความผิดปกติทางยีนส์ของเด็กที่เกิดมา แต่ที่แตกต่างคือ มีอัตราการตั้งครรภ์แฝดมากกว่าธรรมชาติ ทำให้มีโรคที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์แฝดมากกว่า คือ ครรภ์เป็นพิษ การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด การตายคลอด เป็นต้น
สรุป
การ ทำเด็กหลอดแก้วเป็นกระบวนการสุดท้ายที่การรักษาโดยวิธีธรรมดาที่ง่ายกว่า แล้วไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งได้แก่ การคะเนการตกไข่และมีเพศสัมพันธุ์ การกระตุ้นการตกไข่ การผ่าตัดแก้ไขอวัยวะที่ผิดปกติ การผสมเทียมโดยการฉีดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุของการมีบุตรยากมีมากมาย และมีความรุนแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ของแต่ละคนแตกต่างกัน มีขบวนการที่แตกแขนงออกไปเช่น การทำ ICSI CIFT GIFT TESE ฯลฯ
ถึง กระนั้นการทำเด็กหลอดแก้วก็ไม่ใช่จะได้ผลสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ จะต้องอาศัยความร่วมมือและความอดทนสูงของคู่สมรสด้วย แต่เมื่อตั้งครรภ์แล้วโอกาสปกติและผิดปกติของเด็กเหมือนกับการตั้งครรภ์ตาม ธรรมชาติ ยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์แฝดที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้วจะมี มากกว่า
อ้างอิง