• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:7e77cdddc63e36d0cdee1a2921308331' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/k1.gif\" width=\"404\" height=\"400\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/pro.gif\" width=\"498\" height=\"70\" /> \n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n<span style=\"color: #800080\">อารยธรรมโบราณทางภาคพื้น ยุโรปตะวันออก <br />\nเกิดทีหลังภาคพื้นเอเชียตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี<br />\nความเจริญในศิลปวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออกเกิดขึ้นเมื่อ1,000ปีก่อนคริสต์ศักราช <br />\nความเจริญดังกล่าว สูงสุดอยู่ที่ประเทศกรีกซึ่งยกย่องดนตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์สามารถ <br />\nใช้ในการ ชำระล้างบาปและมลทินทางใจได้สามารถรักษาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้ <br />\nนอกจากนี้ดนตรียังได้รับการยกย่องเป็นศิลปะชั้นสูงควรแก่การศึกษา  </span>\n</div>\n<div align=\"center\">\n \n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/111.jpeg\" width=\"278\" height=\"178\" />\n</div>\n<div align=\"center\">\n<span style=\"color: #800080\">วัฒนธรรมตะวันตกถูกผูกติดอยู่กับชาวกรีกโบราณและชาวโรมันอย่างปฎิเสธไม่ได้ </span><br />\n<span style=\"color: #800080\">ความสมบูรณ์ความยอดเยี่ยมของความสวยงาม และศิลปะมีต้นกำเนิดจากกรีก </span><br />\n<span style=\"color: #800080\">รวมทั้งทางปรัชญาของกรีก ประวัติของดนตรีกรีกโบราณตั้งแต่เริ่มต้นถึง 330 ปี </span><br />\n<span style=\"color: #800080\">ก่อนคริสต์กาล(330 B.C;) เมื่อ วัฒนธรรมของกรีกแยกเป็น 2 สาย กล่าวคือ สายที่ 1 </span><br />\n<span style=\"color: #800080\">ทางตะวันออก (Alexander the Great) และสายที่ 2 ทางตะวันตก (ตามชาวโรมัน) </span><br />\n<span style=\"color: #800080\">นอกจากนี้ดนตรีกรีกยังแบ่งออกเป็นยุดต่าง ๆ ได้ดังนี้ </span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<img src=\"/files/u40564/bow.gif\" width=\"43\" height=\"37\" />  <span style=\"color: #ff6600\"><b>Mythical Period </b>จากเริ่มต้นถึง 1,000 ปี ก่อนคริสต์กาล (1,000 B.C.) <br />\nในสมัยนี้ได้สูญหายไปในความลึกลับของศาสตร์แห่งเทพนิยายกรีกดนตรีประเภทนี้ <br />\nใช้ประกอบพิธีกรรมของลัทธิเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) ผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง ซึ่งรวมถึง<br />\nความมีเหตุผลและวินัยถือความถูกต้องชัดเจนและการดำเนินชีวิตตาม ทางสายกลาง <br />\nเครื่องดนตรีที่ใช้ คือ พิณไลร่า (Lyre)<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nทางตรงกันข้ามคือสื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึกโครม สนุกสนาน ความลึกลับ <br />\nและความมืด เทพนิยายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคือ บรรดาเทพ 9 องค์<br />\nเป็นธิดาของเทพเจ้าซีอุส ซึ่งเป็นเทพประจำสรรพวิทยาและศาสตร์แต่ละชนิด<br />\n</span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/222.jpeg\" width=\"242\" height=\"172\" /><img src=\"/files/u40564/333.jpeg\" width=\"216\" height=\"211\" />\n</div>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<img src=\"/files/u40564/bow.gif\" width=\"43\" height=\"37\" /><br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><b>Homeric Period </b>1,000 – 700 (B.C) โฮเมอร์ (Homer) เป็นผู้ก่อตั้งสมัยนี้ <br />\nและในสมัยนี้บทร้อยกรอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติ เกิดขึ้นจากการเดินทาง<br />\nผจญภัยของโฮเมอร์ ต่อมาบทร้อยกรองหรือ มหากาพย์ของโฮเมอร์ ได้กลายเป็นวรรณคดี<br />\nสำคัญซึ่งชาวกรีกนำมาขับร้อง ผู้ที่ขับร้องมหากาพย์จะดีดพิณไลร่า (Lyra) <br />\nคลอการขับร้อง ลักษณะการขับร้องนี้เรียกว่าบาดส์ (Bards) ศิลปินเหล่านี้พำนักอยู่ตาม<br />\nคฤหาสน์ของ ขุนนางถือเป็นนักดนตรีอาชีพ ขับกล่อมบทมหากาพย์โดยใช้ทำนองโบราณ<br />\nซึ่งเป็นท่อนสั้น ๆแต่มีการแปรทำนองหลายแบบ นอกจากนี้ยังมีดนตรีพื้นเมือง (Folk songs)<br />\nซึ่งมีลักษณะเป็นเพลงของพวกเลี้ยงแกะที่เป่า Panpipes (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคล้ายแคน) <br />\nเพื่อกล่อมฝูงแกะและยังมีดนตรีของชาวเมืองในลักษณะของคณะนักร้อง (Chorus) ขับร้อง<br />\nเพลงในพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ ฯลฯ หรือในโอกาส ต่าง ๆ เช่น ในงาน<br />\nฉลองชัยชนะเป็นต้นคณะนักร้องสมัครเล่นเหล่านี้มักจะจ้างพวกบาดส์ให้มาดีดคีธารา <br />\n(Kithara) คลอประกอบ<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/444.jpeg\" width=\"218\" height=\"214\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n<img src=\"/files/u40564/bow.gif\" width=\"43\" height=\"37\" /><span style=\"color: #ff6600\"><b> Archaic Perod</b> 700-550 B.C.ศิลปะส่วนใหญ่มีการเริ่มต้นขั้นพื้นฐานในช่วงสมัยนี้และ<br />\nได้มีการพัฒนาขึ้นในสมัยคลาสสิกเกิดความนิยมรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เรียกว่า “ลีริก” (Lyric) <br />\nและการแสดงออกจากการระบายอารมณ์ในใจของกวี (Music expressing sentiments)<br />\nไม่ว่าจะเป็นความยินดี หรือ ความทุกข์ระทมอันเกิดจากความรัก ความชัง           <br />\nความชื่นชมต่อความงามของฤดูใบไม้ผลิ ความประทับใจในความงามของค่ำคืนใน<br />\nฤดูร้อนหรือความสำนึกส่วนตัวของกวีที่มีต่อสังคม ต่อชาติรวมความแล้ว กวีนิพนธ์<br />\nแบบลีริก(Lyric)นี้เอื้อให้กวีได้แสดงความรู้สึกส่วนตนได้อย่างเต็มที่</span></p>\n<p>การร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์ (Dithyramb) เป็นเพลงที่ใช้บวงสรวง<br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nและเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนิซุสซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งความอุดมสมบูรณ์เป็นการขับร้อง<br />\nเพลงประสานเสียง ที่มีต้นกำเนิดโดยนักร้องชาย 12 คน ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงโดย<br />\nArion ได้เพิ่มจำนวนนักร้องเป็น 50 คนและกำหนดให้มีนักร้องนำ 1 คน<br />\n<img src=\"/files/u40564/bow.gif\" width=\"43\" height=\"37\" /></span><br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\n<b>Classical Period </b>550-440 B.C.โชไรเลส (Choeriles) พีนีซุส (Phrynichus)พาตินุส<br />\n(Pratinas) และเธสพิส (Thespis)ได้พัฒนาการร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์<br />\n(Dithyramb) กล่าวคือได้มีการร้องเพลงโต้ตอบกับกลุ่มคอรัสทำให้การแสดงกลายรูปเป็น<br />\nในลักษณะการสนทนาโต้ตอบกัน แทนที่จะเป็นการเล่าเรื่องโดยการบรรยายอยู่ฝ่ายเดียว <br />\nพวกเขายังช่วยสร้างให้เกิดวัฒนธรรมของกรีกโบราณคือ การละคร (Drama) เป็นรูปแบบ<br />\nการแสดงที่มีการผสมผสานศิลปะการเต้นรำและดนตรีเข้าด้วยกันได้ อย่างสมดุลย์</span></p>\n<p>ในสมัยนี้ได้มีการสร้างโรงละครกลางแจ้ง ตั้งอยู่ระหว่างซอกเขาที่มีเนินลาดโอบล้อมอยู่<br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nสามด้านเป็นอัฒจันทร์ที่นั่ง คนดูซึ่งจุคนได้เป็นจำนวนมากและยังเห็นการแสดงได้ชัดเจน<br />\nไม่มีการบังกัน อัฒจันทร์คนดูนี้เซาะเป็นขั้นบันไดสูงขึ้นไปตามไหล่เขาที่ลาดชันโดยโอบล้อม<br />\nบริเวณที่ใช้แสดงเป็นพื้นที่ราบอยู่ต่ำลงไปเป็นรูปวงกลมหรือครึ่งวงกลม ซึ่งเรียกบริเวณว่า <br />\nออร์เคสตรา (Orchestra) ใช้เป็นที่แสดงของพวกคอรัสซึ่งยังคงความนิยมติดมากับการแสดง<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/555.jpeg\" width=\"375\" height=\"238\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n<img src=\"/files/u40564/bow.gif\" width=\"43\" height=\"37\" /> <br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><b>Hellinistic Period</b> 440-330 B.C.ลักษณะของการละครสมัยนี้เริ่มไม่ได้รับความนิยม <br />\nเนื่องจากว่ามีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการละคร <br />\nในสมัยนี้ศิลปะและบทประพันธ์ร้อยกรองต่าง ๆ มีการพัฒนาแยกออกจากดนตรีมี<br />\nนักปราชญ์ทางดนตรีหลายคน การค้นพบกฎพื้นฐานของเสียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ<br />\nปรัชญาและคณิตศาสตร์ ซึ่งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์นามกระเดื่องของกรีกคือ <br />\nไพธากอรัส (Pythagoras) เป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ไว โดยการทดลองเกี่ยวกับการสั่นสะเทือน<br />\nของเสียงจากความสั้น - ยาวของสายที่ขึงไว้ ไพธากอรัสค้นพบวิธีที่จะสร้างระยะขั้นคู่<br />\nเสียงต่าง ๆ รวมทั้งระยะขั้นคู่ 8 ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญของบันไดเสียงของดนตรีตะวันตก <br />\nนักคิดรุ่นต่อ ๆ มาได้พัฒนาทฤษฎีดนตรีของกรีกจนได้เป็นระบบที่สลับซับซ้อนที่รู้จักกัน<br />\nในนาม ของโมด (Mode) ซึ่งได้แก่บันไดเสียงทางดนตรีที่ใช้ในการชักจูงให้ผู้ฟังมี<br />\nความรู้สึกต่าง ๆ กันออกไป บันไดเสียงเหล่านี้จึงมีการใช้ในการสร้างสรรค์ดนตรีเฉพาะ<br />\nตามกรณี จากโมดนี้เองชนชาติกรีกได้พัฒนาหลักการของอีธอส (Doctrine of ethos) <br />\nซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องของพลังแห่งสัจธรรมของดนตรีโดยกล่าวไว้ว่าพลังของ <br />\nดนตรีมีผลเกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกถึงความชื่นชอบหรือความขัดแย้งกล่าวอีก <br />\nนัยหนึ่งคือ ดนตรีเกี่ยวข้องกับความดีและความชั่วร้าย</span></p>\n<p>โดยทั่วไปโมดสามารถจัดได้เป็นสองจำพวกคือ โมดที่สื่อถึงความเงียบสงบ มีระเบียบ<br />\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าอพอลโลและโมดที่สื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึก โครมใช้กับ<br />\nพิธีกรรมของเทพเจ้าไดโอนีซัส ผลสะท้อนของแนวคิดที่กล่าวถึงนี้ทำให้ดนตรีของกรีกมีทั้ง<br />\nการแสดงออกถึงความ ซับซ้อนของท่วงทำนองจากการบรรเลงของเครื่องดนตรีล้วน ๆ <br />\nในการแสดงเพื่อการแข่งขันหรือในงานฉลองต่างๆ<br />\nตำนานของวีรบุรุษและการศึกษาสำหรับพวกสังคมชั้นสูงที่เต็มไปด้วยปรัชญาอัน ลึกซึ้งใน<br />\nหนังสือ Poetics นั้น อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายว่าดนตรีมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์<br />\nอย่างไรบ้าง เขากล่าวว่าดนตรีเลียนแบบอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ได้ยิน<br />\nดนตรีซึ่งเลียนแบบอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ก็จะเกิดมีความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยทฤษฎีดนตรี<br />\nกรีกของ Aristoxenus กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของทฤษฎีดนตรีในปัจจุบันโดยได้เสนอผล<br />\nงานระบบเสียงที่ เรียกว่า เตตราคอร์ด (Tetrachord) 3 ชนิด คือ Diatonic, Chromatic, <br />\nและ Enharmonic โดยเสียงที่อยู่ภายในคู่ 4 เพอร์เฟคจะถูกเรียกว่า Shade ดังตัวอย่าง<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff6600\"><img src=\"/files/u40564/n1.gif\" width=\"366\" height=\"93\" /></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nถ้าได้ยินดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้จิตใจต่ำบ่อย ๆ เข้าก็ทำให้เขาพลอยมีจิตใจต่ำไป<br />\nด้วยตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้ฟังดนตรีที่ช่วย ยกระดับจิตใจก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจ<br />\nสูง ดังนั้น เปลโตและอริสโตเติล มีความคิดเห็นตรงกันในข้อที่ว่าหลักสูตรการศึกษาควร<br />\nประกอบด้วยวิชากีฬาและ ดนตรีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ <br />\nเปลโตสอนว่า “การเรียนดนตรีอย่างเดียวทำให้อ่อนแอและเป็นคนมีปัญหา <br />\nการเรียนกีฬาอย่างเดียวทำให้เป็นคนที่อารมณ์ก้าวร้าวและไม่ฉลาด” ยิ่งกว่านั้นเปลโต<br />\nยังได้กำหนดไว้ว่า “ดนตรีที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาไม่ควรมีลีลาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหว<br />\nควรใช้ทำนองที่มีลีลาดอเรียน(Dorian)และฟรีเจียน (Phrygian)”<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff6600\"><img src=\"/files/u40564/n2.gif\" width=\"398\" height=\"128\" /></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff6600\"><br />\nบันไดเสียงทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดอารมณ์กล้าหาญและสุภาพเรียบร้อย เปลโตเชื่อว่า<br />\nดนตรีมีอำนาจในการที่จะเปลี่ยนนิสัยของมนุษย์จนกระทั่งในบางกรณีสามารถรักษา<br />\nโรคให้หายได้นี่คือทฤษฎีอีธอส (Ethos) ของดนตรี เปลโตยังเคยกล่าวไว้ว่า “<br />\nจะให้ใครเป็นผู้เขียนกฎหมายก็แล้วแต่ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แต่งเพลงประจำชาติก็แล้วกัน” <br />\nนี่หมายถึงว่า กฎหมายเพียงแต่กำหนดขอบเขตความประพฤติของคนจากภายนอก <br />\nแต่อีธอสของดนตรีสามารถเข้าถึงจิตใจมนุษย์ และคุมนิสัยจากภายในได้ <br />\nจากการศึกษาหลักฐานต่าง ๆ สรุปได้ว่าดนตรีกรีกน่าจะเป็นดนตรีเน้นเสียงแนวเดียว <br />\n(Monophonic music) กล่าวคือเน้นเฉพาะแนวทำนองโดยไม่มีแนวประสานเสียง<br />\nทำให้โครงสร้างของทำนองมีความสลับซับซ้อน ระยะขั้นคู่เสียงที่ใช้จะห่างกันน้อยกว่าครึ่ง<br />\nเสียงได้ซึ่งเป็นลักษณะที่ เรียกว่าไมโครโทน (Microtones) ดนตรีกรีกมีหลายรูปแบบ นับ<br />\nตั้งแต่ดนตรีที่บรรเลง ด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ไม่มีการร้องไปจนถึงการร้องบทกวีแต่รูปแบบที่<br />\nนับว่าสำคัญ ได้แก่ การร้องหมู่ ซึ่งพบได้ในละครของกรีก ในระยะแรกการร้องหมู่ใช้ในการ<br />\nสรรเสริญพระเจ้าและวีรบุรุษซึ่งมักมีการเต้นรำ ประกอบเพลงร้องด้วย<br />\n</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #800080\"><b>ดนตรีสมัยกรีก .... </b></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #800080\"></span></p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span><span style=\"color: #800080\"><span style=\"color: #800080\">\n<div style=\"text-align: center\">\n<span><span style=\"color: #800080\"><img src=\"/files/u40564/666.jpeg\" width=\"178\" height=\"288\" /></span></span><img src=\"/files/u40564/888.jpeg\" width=\"298\" height=\"289\" />\n</div>\n<p></p></span></span></span>\n</div>\n<p>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #800080\"></span></p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/777.gif\" width=\"418\" height=\"213\" />\n</div>\n<p>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u40564/sk.gif\" width=\"565\" height=\"32\" />\n</div>\n<p><span style=\"color: #800080\"> </span></p>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"/node/86668\"><img src=\"/files/u40564/hh_0.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a><a href=\"/node/89233\"><img src=\"/files/u40564/22.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a>\n</p>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"/node/89234\"><img src=\"/files/u40564/33.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a><a href=\"/node/89235\"><img src=\"/files/u40564/44.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a>\n</p>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<a href=\"/node/89237\"><img src=\"/files/u40564/55.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a><a href=\"/node/89238\"><img src=\"/files/u40564/b66.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"/node/89241\"><img src=\"/files/u40564/b77.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a><a href=\"/node/89244\"><img src=\"/files/u40564/b88.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a>\n</p>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"/node/89246\"><img src=\"/files/u40564/99.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a><a href=\"/node/89247\"><img src=\"/files/u40564/100.jpg\" width=\"291\" height=\"61\" /></a>\n</p>\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n', created = 1715899473, expire = 1715985873, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:7e77cdddc63e36d0cdee1a2921308331' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

สมัยกรีก

อารยธรรมโบราณทางภาคพื้น ยุโรปตะวันออก
เกิดทีหลังภาคพื้นเอเชียตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี
ความเจริญในศิลปวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออกเกิดขึ้นเมื่อ1,000ปีก่อนคริสต์ศักราช
ความเจริญดังกล่าว สูงสุดอยู่ที่ประเทศกรีกซึ่งยกย่องดนตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์สามารถ
ใช้ในการ ชำระล้างบาปและมลทินทางใจได้สามารถรักษาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้
นอกจากนี้ดนตรียังได้รับการยกย่องเป็นศิลปะชั้นสูงควรแก่การศึกษา 
 
วัฒนธรรมตะวันตกถูกผูกติดอยู่กับชาวกรีกโบราณและชาวโรมันอย่างปฎิเสธไม่ได้
ความสมบูรณ์ความยอดเยี่ยมของความสวยงาม และศิลปะมีต้นกำเนิดจากกรีก
รวมทั้งทางปรัชญาของกรีก ประวัติของดนตรีกรีกโบราณตั้งแต่เริ่มต้นถึง 330 ปี
ก่อนคริสต์กาล(330 B.C;) เมื่อ วัฒนธรรมของกรีกแยกเป็น 2 สาย กล่าวคือ สายที่ 1
ทางตะวันออก (Alexander the Great) และสายที่ 2 ทางตะวันตก (ตามชาวโรมัน)
นอกจากนี้ดนตรีกรีกยังแบ่งออกเป็นยุดต่าง ๆ ได้ดังนี้

  Mythical Period จากเริ่มต้นถึง 1,000 ปี ก่อนคริสต์กาล (1,000 B.C.)
ในสมัยนี้ได้สูญหายไปในความลึกลับของศาสตร์แห่งเทพนิยายกรีกดนตรีประเภทนี้
ใช้ประกอบพิธีกรรมของลัทธิเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) ผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง ซึ่งรวมถึง
ความมีเหตุผลและวินัยถือความถูกต้องชัดเจนและการดำเนินชีวิตตาม ทางสายกลาง
เครื่องดนตรีที่ใช้ คือ พิณไลร่า (Lyre)


ทางตรงกันข้ามคือสื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึกโครม สนุกสนาน ความลึกลับ
และความมืด เทพนิยายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคือ บรรดาเทพ 9 องค์
เป็นธิดาของเทพเจ้าซีอุส ซึ่งเป็นเทพประจำสรรพวิทยาและศาสตร์แต่ละชนิด


Homeric Period 1,000 – 700 (B.C) โฮเมอร์ (Homer) เป็นผู้ก่อตั้งสมัยนี้
และในสมัยนี้บทร้อยกรอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติ เกิดขึ้นจากการเดินทาง
ผจญภัยของโฮเมอร์ ต่อมาบทร้อยกรองหรือ มหากาพย์ของโฮเมอร์ ได้กลายเป็นวรรณคดี
สำคัญซึ่งชาวกรีกนำมาขับร้อง ผู้ที่ขับร้องมหากาพย์จะดีดพิณไลร่า (Lyra)
คลอการขับร้อง ลักษณะการขับร้องนี้เรียกว่าบาดส์ (Bards) ศิลปินเหล่านี้พำนักอยู่ตาม
คฤหาสน์ของ ขุนนางถือเป็นนักดนตรีอาชีพ ขับกล่อมบทมหากาพย์โดยใช้ทำนองโบราณ
ซึ่งเป็นท่อนสั้น ๆแต่มีการแปรทำนองหลายแบบ นอกจากนี้ยังมีดนตรีพื้นเมือง (Folk songs)
ซึ่งมีลักษณะเป็นเพลงของพวกเลี้ยงแกะที่เป่า Panpipes (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคล้ายแคน)
เพื่อกล่อมฝูงแกะและยังมีดนตรีของชาวเมืองในลักษณะของคณะนักร้อง (Chorus) ขับร้อง
เพลงในพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ ฯลฯ หรือในโอกาส ต่าง ๆ เช่น ในงาน
ฉลองชัยชนะเป็นต้นคณะนักร้องสมัครเล่นเหล่านี้มักจะจ้างพวกบาดส์ให้มาดีดคีธารา
(Kithara) คลอประกอบ

 

Archaic Perod 700-550 B.C.ศิลปะส่วนใหญ่มีการเริ่มต้นขั้นพื้นฐานในช่วงสมัยนี้และ
ได้มีการพัฒนาขึ้นในสมัยคลาสสิกเกิดความนิยมรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เรียกว่า “ลีริก” (Lyric)
และการแสดงออกจากการระบายอารมณ์ในใจของกวี (Music expressing sentiments)
ไม่ว่าจะเป็นความยินดี หรือ ความทุกข์ระทมอันเกิดจากความรัก ความชัง          
ความชื่นชมต่อความงามของฤดูใบไม้ผลิ ความประทับใจในความงามของค่ำคืนใน
ฤดูร้อนหรือความสำนึกส่วนตัวของกวีที่มีต่อสังคม ต่อชาติรวมความแล้ว กวีนิพนธ์
แบบลีริก(Lyric)นี้เอื้อให้กวีได้แสดงความรู้สึกส่วนตนได้อย่างเต็มที่

การร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์ (Dithyramb) เป็นเพลงที่ใช้บวงสรวง

และเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนิซุสซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งความอุดมสมบูรณ์เป็นการขับร้อง
เพลงประสานเสียง ที่มีต้นกำเนิดโดยนักร้องชาย 12 คน ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงโดย
Arion ได้เพิ่มจำนวนนักร้องเป็น 50 คนและกำหนดให้มีนักร้องนำ 1 คน


Classical Period 550-440 B.C.โชไรเลส (Choeriles) พีนีซุส (Phrynichus)พาตินุส
(Pratinas) และเธสพิส (Thespis)ได้พัฒนาการร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์
(Dithyramb) กล่าวคือได้มีการร้องเพลงโต้ตอบกับกลุ่มคอรัสทำให้การแสดงกลายรูปเป็น
ในลักษณะการสนทนาโต้ตอบกัน แทนที่จะเป็นการเล่าเรื่องโดยการบรรยายอยู่ฝ่ายเดียว
พวกเขายังช่วยสร้างให้เกิดวัฒนธรรมของกรีกโบราณคือ การละคร (Drama) เป็นรูปแบบ
การแสดงที่มีการผสมผสานศิลปะการเต้นรำและดนตรีเข้าด้วยกันได้ อย่างสมดุลย์

ในสมัยนี้ได้มีการสร้างโรงละครกลางแจ้ง ตั้งอยู่ระหว่างซอกเขาที่มีเนินลาดโอบล้อมอยู่

สามด้านเป็นอัฒจันทร์ที่นั่ง คนดูซึ่งจุคนได้เป็นจำนวนมากและยังเห็นการแสดงได้ชัดเจน
ไม่มีการบังกัน อัฒจันทร์คนดูนี้เซาะเป็นขั้นบันไดสูงขึ้นไปตามไหล่เขาที่ลาดชันโดยโอบล้อม
บริเวณที่ใช้แสดงเป็นพื้นที่ราบอยู่ต่ำลงไปเป็นรูปวงกลมหรือครึ่งวงกลม ซึ่งเรียกบริเวณว่า
ออร์เคสตรา (Orchestra) ใช้เป็นที่แสดงของพวกคอรัสซึ่งยังคงความนิยมติดมากับการแสดง

 

 
Hellinistic Period 440-330 B.C.ลักษณะของการละครสมัยนี้เริ่มไม่ได้รับความนิยม
เนื่องจากว่ามีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการละคร
ในสมัยนี้ศิลปะและบทประพันธ์ร้อยกรองต่าง ๆ มีการพัฒนาแยกออกจากดนตรีมี
นักปราชญ์ทางดนตรีหลายคน การค้นพบกฎพื้นฐานของเสียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
ปรัชญาและคณิตศาสตร์ ซึ่งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์นามกระเดื่องของกรีกคือ
ไพธากอรัส (Pythagoras) เป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ไว โดยการทดลองเกี่ยวกับการสั่นสะเทือน
ของเสียงจากความสั้น - ยาวของสายที่ขึงไว้ ไพธากอรัสค้นพบวิธีที่จะสร้างระยะขั้นคู่
เสียงต่าง ๆ รวมทั้งระยะขั้นคู่ 8 ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญของบันไดเสียงของดนตรีตะวันตก
นักคิดรุ่นต่อ ๆ มาได้พัฒนาทฤษฎีดนตรีของกรีกจนได้เป็นระบบที่สลับซับซ้อนที่รู้จักกัน
ในนาม ของโมด (Mode) ซึ่งได้แก่บันไดเสียงทางดนตรีที่ใช้ในการชักจูงให้ผู้ฟังมี
ความรู้สึกต่าง ๆ กันออกไป บันไดเสียงเหล่านี้จึงมีการใช้ในการสร้างสรรค์ดนตรีเฉพาะ
ตามกรณี จากโมดนี้เองชนชาติกรีกได้พัฒนาหลักการของอีธอส (Doctrine of ethos)
ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องของพลังแห่งสัจธรรมของดนตรีโดยกล่าวไว้ว่าพลังของ
ดนตรีมีผลเกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกถึงความชื่นชอบหรือความขัดแย้งกล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ ดนตรีเกี่ยวข้องกับความดีและความชั่วร้าย

โดยทั่วไปโมดสามารถจัดได้เป็นสองจำพวกคือ โมดที่สื่อถึงความเงียบสงบ มีระเบียบ

ใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าอพอลโลและโมดที่สื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึก โครมใช้กับ
พิธีกรรมของเทพเจ้าไดโอนีซัส ผลสะท้อนของแนวคิดที่กล่าวถึงนี้ทำให้ดนตรีของกรีกมีทั้ง
การแสดงออกถึงความ ซับซ้อนของท่วงทำนองจากการบรรเลงของเครื่องดนตรีล้วน ๆ
ในการแสดงเพื่อการแข่งขันหรือในงานฉลองต่างๆ
ตำนานของวีรบุรุษและการศึกษาสำหรับพวกสังคมชั้นสูงที่เต็มไปด้วยปรัชญาอัน ลึกซึ้งใน
หนังสือ Poetics นั้น อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายว่าดนตรีมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์
อย่างไรบ้าง เขากล่าวว่าดนตรีเลียนแบบอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ได้ยิน
ดนตรีซึ่งเลียนแบบอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ก็จะเกิดมีความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยทฤษฎีดนตรี
กรีกของ Aristoxenus กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของทฤษฎีดนตรีในปัจจุบันโดยได้เสนอผล
งานระบบเสียงที่ เรียกว่า เตตราคอร์ด (Tetrachord) 3 ชนิด คือ Diatonic, Chromatic,
และ Enharmonic โดยเสียงที่อยู่ภายในคู่ 4 เพอร์เฟคจะถูกเรียกว่า Shade ดังตัวอย่าง


ถ้าได้ยินดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้จิตใจต่ำบ่อย ๆ เข้าก็ทำให้เขาพลอยมีจิตใจต่ำไป
ด้วยตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้ฟังดนตรีที่ช่วย ยกระดับจิตใจก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจ
สูง ดังนั้น เปลโตและอริสโตเติล มีความคิดเห็นตรงกันในข้อที่ว่าหลักสูตรการศึกษาควร
ประกอบด้วยวิชากีฬาและ ดนตรีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ
เปลโตสอนว่า “การเรียนดนตรีอย่างเดียวทำให้อ่อนแอและเป็นคนมีปัญหา
การเรียนกีฬาอย่างเดียวทำให้เป็นคนที่อารมณ์ก้าวร้าวและไม่ฉลาด” ยิ่งกว่านั้นเปลโต
ยังได้กำหนดไว้ว่า “ดนตรีที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาไม่ควรมีลีลาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหว
ควรใช้ทำนองที่มีลีลาดอเรียน(Dorian)และฟรีเจียน (Phrygian)”


บันไดเสียงทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดอารมณ์กล้าหาญและสุภาพเรียบร้อย เปลโตเชื่อว่า
ดนตรีมีอำนาจในการที่จะเปลี่ยนนิสัยของมนุษย์จนกระทั่งในบางกรณีสามารถรักษา
โรคให้หายได้นี่คือทฤษฎีอีธอส (Ethos) ของดนตรี เปลโตยังเคยกล่าวไว้ว่า “
จะให้ใครเป็นผู้เขียนกฎหมายก็แล้วแต่ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แต่งเพลงประจำชาติก็แล้วกัน”
นี่หมายถึงว่า กฎหมายเพียงแต่กำหนดขอบเขตความประพฤติของคนจากภายนอก
แต่อีธอสของดนตรีสามารถเข้าถึงจิตใจมนุษย์ และคุมนิสัยจากภายในได้
จากการศึกษาหลักฐานต่าง ๆ สรุปได้ว่าดนตรีกรีกน่าจะเป็นดนตรีเน้นเสียงแนวเดียว
(Monophonic music) กล่าวคือเน้นเฉพาะแนวทำนองโดยไม่มีแนวประสานเสียง
ทำให้โครงสร้างของทำนองมีความสลับซับซ้อน ระยะขั้นคู่เสียงที่ใช้จะห่างกันน้อยกว่าครึ่ง
เสียงได้ซึ่งเป็นลักษณะที่ เรียกว่าไมโครโทน (Microtones) ดนตรีกรีกมีหลายรูปแบบ นับ
ตั้งแต่ดนตรีที่บรรเลง ด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ไม่มีการร้องไปจนถึงการร้องบทกวีแต่รูปแบบที่
นับว่าสำคัญ ได้แก่ การร้องหมู่ ซึ่งพบได้ในละครของกรีก ในระยะแรกการร้องหมู่ใช้ในการ
สรรเสริญพระเจ้าและวีรบุรุษซึ่งมักมีการเต้นรำ ประกอบเพลงร้องด้วย

ดนตรีสมัยกรีก ....

 

สร้างโดย: 
kazunari

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 169 คน กำลังออนไลน์