สาธารณะรัฐประชาชนจีน
ประวัติศาสตร์จีน-ประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน 中华人民国共和国
ประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 โดยมีเป่ยจิง 北京 เป็นเมืองหลวง “ประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว” เหมาเจ๋อตงประกาศในวันก่อตั้งประเทศ เหมาได้แบ่งสังคมจีนเป็นสี่ชนชั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ ชนชั้นชาวนา ชั้นชนปัญญาชน และชนชั้น-
นายทุน ชนชั้นทั้งสี่จะนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นของชนชั้นกรรมาชีพซึ่งมีสมาชิกพรรคถึง 4.5 ล้านคน และเป็นชาวนาเสียเกือบ 90 เปอร์เซ็น พรรคอยู่ภายใต้การนำของประธานเหมา และมีโจวเอินไหล周恩来(1898-1976) เป็นนายกรัฐมนตรี
สหภาพโซเวียตประกาศรับรองสาธารณะรัฐประชาชาติในวันที่ 2 ตุลาคม 1949 เหมาประกาศนโยบาย “เอียงเข้าหาข้างหนึ่ง” หรือ Leaning to One Side ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญาสำหรับกลุ่มประเทศสังคมนิยม ในปี 1950 กุมภาพันธ์ ประเทศจีนกับสหภาพโซเวียตได้ลงนามสนธิสัญญาแห่งมิตรภาพ สนธิสัญญาแห่งความช่วยเหลือ ซึ่งมีผลบังคับถึงปี1980 สนธิสัญญาดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายต่อต้านญี่ปุ่นหรือประเทศใด ๆ ที่
จะร่วมมือกับญี่ปุ่นโดยมีจุดมุ่งหมายในการคุกคามต่อจีน
หลายทศวรรษจากนั้น ประเทศจีนก็อยู่ในภาวะสงบหลังจากที่ผ่านพ้นภาวะสงครามและการต่อต้านจากภายใน ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง
ที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด ในปีแรกของการบริหารประเทศ เหมาเน้นการเพิ่มความชำนาญและประสิทธิภาพในการปฏิรูปทางสังคมและเศรษฐกิจและได้ให้ประชาชนทุกชนชั้นเข้ามามีส่วนร่วมในภาระกิจนี้ ผลตอบรับจึงเป็นที่ประทับใจและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
ปี 1950 นานาชาติเริ่มให้การยอมรับต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์มากขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งที่ทำให้การยอมรับจากนานาชาติต้องสะดุดคือเหตุการณ์สงครามเกาหลีเนื่องจากในปี 1950 กองกำลังสหประชาชาติได้ส่งเข้าไปเกาหลีเหนือ จีนเกรงว่าจะคุกครมต่อดินแดงทางภาคตะวันออกเฉียง-เหนือซึ่งเป็นหัวใจทางด้านอุตสาหกรรม จีนจึงส่งกองทัพปลดแอกประชาชน แต่เรียกตนเองว่าอาสาสมัครประชาชนจีนเข้าไปเกาหลีเหนือตามคำเรียกร้อง ในช่วงเวลาเดียวกัน กองทัพปลดแอกประชาชนก็ได้เข้าไป ซีจ้าง 西藏 เพื่อยึดอธิปไตยคืนหลังจากที่ได้แยกตัวออกพร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์ชิงในปี 1911 ปี 1951 สหประชาชาติประกาศให้จีนเป็นประเทศผู้รุกราน และประกาศแซงค์ชั่นไม่ให้ขายอาวุธและยุทธปัจจัยให้แก่จีน ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สหประชาชาติกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะให้รัฐบาลคอมมิวนิสต์เข้าไปแทนที่รัฐบาลชาตินิยม ของไต้หวันในฐานะสมาชิกถาวร ซึ่งมีสิทธิวีโต้ของสหประชาชาติ
การก้าวไปสู่สังคมนิยม
การก้าวไปสู่สังคมนิยมได้กำเนิดอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาเดียวกับที่จีนนำแผนห้าปีฉบับที่หนึ่ง(1953-1957)มาใช้ ซึ่งเน้นระบบรวมศูนย์ในด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรมและการเมือง
การพัฒนาภายใต้แผนห้าปี เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักโดยยึดรูปแบบของโซเวียต จึงต้องหาเงินทุนเพื่อฝึกอบรม ซื้อเครื่องจักร เทคโนโลยี รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ แต่สิ่งที่เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนคือ การจัดหาอาหารให้เพียงพอกับประชากรจำนวนมาก การจัดสรรเงินทุนสำหรับสร้างอาชีพในชุมชน ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงิน รัฐบาลจึงนำระบบการผลิตรวมศูนย์โดยยึดกิจการทุกอย่าง เช่นธนาคาร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และธุรกิจเอกชน ซึ่งประสบความสำเร็จถึง 90 เปอร์เซ็นภายในสิ้นปี 1956
ในด้านการพัฒนาทางการเมืองรวมถึงการรวมศูนย์อำนาจโดยพรรคและคณะรัฐบาล มีการจัดการเลือกตั้งตัวแทนของสมัชชาประชาชนแห่งชาติ
ครั้งที่หนึ่งในปี 1953 จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปี 1954 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญและเลือกเหมาเจ๋อตงเป็นประธานพรรคอย่างเป็นทางการ เลือกหลิวซ่าวฉี 刘少奇 เป็นประธานคณะกรรมการถาวรสภาประชาชนแห่งชาติ 全国人大常委会委员长 และแต่งตั้งโจวเอินไหล 周恩来 เป็นนายกรัฐมนตรี
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล สิ่งที่ไม่ได้คาดหมายได้เกิดขึ้นคือการดิ้นรนแสวงหาอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์นี้ได้นำไป
สู่การปลดสมาชิกชั้นสูงหลายคนออกจากอำนาจ คือ กาวกัง 高岗 สมาชิกกรรมการกลางพรรค และหลาวซู่สือ 饒漱石 ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาพยายามยึดอำนาจพรรค
ในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างของพรรคก็มีทิศทางที่ดีขึ้นภายใต้การรับผิดชอบของเติ้งเสี่ยวผิง 邓小平 เลขาธิการพรรค เติ้งเปิดรับสมาชิก
พรรคที่เป็นปัญญาชน ซึ่งในปี 1956 มีถึง 12 เปอร์เซ็นจากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 10.8 ล้านคน ขณะที่สมาชิกที่มาจากชนชั้นผู้ใช้แรงงานลดลงมาเป็น 69 เปอร์เซ็น เพื่อเป็นการชักชวนเหล่าปัญญาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคนั้น กลางปี 1956 มีความพยายามที่จะผ่อนคลายบรรยา-กาศทางการเมือง จึงเปิดโอกาสให้ปัญญาชนและบุคคลที่ทำงานด้านศิลปะวัฒนะธรรมวิจารณ์พรรคอย่างเปิดอก ภายใต้คำขวัญว่า “ร้อยบุบผาบานสะพรั่ง”百花齐放 百家争鸣 จุดมุ่งหมายของความเคลื่อนไหวนี้ เพื่อถกปัญหาของประเทศอย่างสร้างสรรค์ในการกำหนดรูปแบบของศิลปะเพื่อวัฒนะธรรมใหม่ และเหมามองเห็นแนวทางที่จะใช้ศิลปะในการสนับสนุนเผยแพร่ลัทธิสังคมนิยม ตอนแรกทางพรรคมีการเชิญให้มาแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เสรีและเปิดกว้าง แต่ไม่มีใครกล้าออกมาวิพากษ์ แต่มีจดหมายที่เขียนมาถึงนายกฯโจวในเชิงแนะนำตั้งแต่ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 17 กรกฏาคม 1957 จดหมายวิพากษ์
วิจารณ์พรรคอย่างรุนแรงจำนวนนับล้านฉบับหลั่งไหลเข้าไปที่สำนักงานของนายกฯโจว จนแทบจะควบคุมไม่ได้ เหมาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการวิพากษ์ที่ไม่สร้างสรรค์และเป็นการบ่อนทำลายพรรค
เดือนกรกฏาคม 1957 เหมาสั่งให้ยุติความเคลื่อนไหวร้อยบุบผาบานสะ-พรั่ง และถือว่าพวกวิพากษ์พรรคเป็นพวกขวาจัด 右派份子 จากนั้นได้รณณงค์ต่อต้านพวกขวาจัด 反右派运动 จับกุมพวกต่อต้านการปฏิวัติซึ่งส่วนใหญ่ยึดถือตามจดหมายวิพากษ์วิจารณ์ที่ส่งเข้ามา ปัญญาชนจำนวนมาถูกจับกุม และเสียชีวิตจาการทรมาน