ยุคราชวงศ์โจว
ราชวงศ์โจวตะวันออก (771 -221 ก่อนคริสตกาล)
ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของราชวงศ์
หลังจากที่ราชวงศ์โจวตะวันตกล่มสลาย พระเจ้าโจวผิงหวังเป็นโอรสของพระเจ้าโจวโยวหวัง ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โจวตะวันตกได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ และได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองซีอัน มาที่เมืองลั่วหยาง ในประวัติศาสตร์จีนจึงเรียกราชวงศ์นี้ว่าราชวงศ์โจวตะวันออก
ถ้าหากลองสังเกตประวัติศาสตร์จีน จะพบว่าชื่อของราชวงศ์ต่างๆ มักจะมีคำบอกทิศทาง อย่างเช่น ราชวงศ์โจวตะวันออกและราชวงศ์โจวตะวันตก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ราชวงศ์จิ้นตะวันออก ราชวงศ์จิ้นตะวันตก ราชวงศ์ซ่งเหนือ และราชวงศ์ซ่งใต้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลังจากที่สงครามผ่านไป ราชวงศ์เก่าล่มสลายไป แต่กษัตริย์ที่ครองราชย์บัลลังก์ สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เดิม แต่ได้ทำการย้ายเมืองหลวงเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักประวัติศาสตร์จึงเพิ่มคำบ่งบอกทิศทางเข้าไปในชื่อของราชวงศ์ โดยพิจารณาจากที่ตั้งของเมืองหลวง อาทิเช่น ราชวงศ์โจวเดิมตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองซีอันซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก จึงเรียกราชวงศ์นี้ว่าราชวงศ์โจวตะวันตก ต่อมาได้มีการย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองลั่วหยาง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองซีอัน จึงเรียกราชวงศ์นี้ว่าราชวงศ์โจวตะวันออก
สมัยชุนชิว และ สมัยจ้านกั๋ว (จั้นกว๋อ) (770 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 221 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
สมัยชุนชิว
ราชวงศ์โจวตะวันออกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเรียกว่า สมัยชุนชิว เมื่อโจวผิงหวัง ย้ายเมืองหลวง ราชสำนักโจวก็อ่อนแอลง จึงไม่มีอำนาจปกครองเหนือเหล่าแว่นแคว้นต่าง ๆอีก ทำให้เกิดเป็นสภาวะสุญญากาศทางการเมืองขึ้นในภูมิภาคนี้
ขณะเดียวกัน ชนเผ่าหมาน อี๋ และหรงตี๋ ที่อยู่รอบนอกตามตะเข็บชายแดน ซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากแผ่นดินจงหยวน(ดินแดนแถบที่ราบภาคกลางของจีน) อีกทั้งมีการผสมผสานระหว่างชนเผ่า ทำให้ชุมชนเหล่านี้เจริญก้าวหน้าตามติดมาอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่แว่นแคว้นต่าง ๆ ในแถบจงหยวนมีเงื่อนไขของความเจริญรุดหน้าที่ไม่ทัดเทียมกัน มีบ้างเข้มแข็ง บ้างอ่อนแอ ดังนั้น ทั่วทั้งภูมิภาคจึงเกิดการจับขั้วของอำนาจระหว่างแคว้น มีทั้งความร่วมมือและแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ ดังนั้น ในยุคราชวงศ์โจวตะวันออกจึงเป็นยุคที่มีความพลิกผันทางการเมืองอย่างสูง แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งของการรวมประเทศจีนในอนาคต
ดังนั้นเขตแคว้นทั้งหลายต่างแสวงหาผู้มีความรู้ความสามารถมาช่วยพัฒนาเพื่อให้เมืองของตนมีความเข้มแข็งมากขึ้น ดังนั้นในช่วงนี้ประเทศจีนจึงเกิดนักคิดเป็นจำนวนมาก พวกเค้าได้สร้างแนวคิด และทฤษฏีต่างๆ ไว้มากมาย เช่น ลัทธิหลูของขงจื่อ (ขงจื๊อ) ลัทธิเต๋าของเหล่าจื่อ (เล่าจื๊อ) และลัทธิกฎหมายของหันเฟยจื่อ เป็นต้น ในประวัติศาสตร์เรียกว่า ไป่เจียเจิงหมิง (ปรัชญาร้อยสำนัก)
เมื่อมีการย้ายนครหลวงไปยังตะวันออก ดินแดนฝั่งตะวันตกก็กลายเป็นแคว้นฉิน ครอบคลุมเขตแดนของชนเผ่าหรง และดินแดนโดยรอบ กลายเป็นแคว้นที่เข้มแข็งทางตะวันตก สำหรับแคว้นจิ้น ปัจจุบันอยู่ในมณฑลซานซี ส่วนแคว้นฉี และหลู่ อยู่ในมณฑลซานตง แคว้นฉู่ อยู่ในมณฑลหูเป่ย สำหรับปักกิ่งและดินแดนทางตอนเหนือของมณฑลเหอเป่ยในปัจจุบันเป็นแคว้นเอี้ยน นอกจากนี้ทางตอนใต้ของลำน้ำฉางเจียงหรือแยงซีเกียงก่อเกิดเป็นแว่นแคว้นต่าง ๆมากมาย อาทิ แคว้นอู๋ แคว้นเยว่ เป็นต้น ล้วนเกิดจากการรวบรวมแว่นแคว้นเล็กที่อยู่โดยรอบเขตแดนของตน จนกระทั่งมีกำลังเข้มแข็งขึ้น ดังนั้นเองประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงกลายสมรภูมิเลือดแห่งการแย่งชิงอำนาจของเจ้าแคว้นเหล่านี้
การแย่งชิงอำนาจเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้นำที่ครองอำนาจเด็ดขาดในจงหยวนนั้น เริ่มต้นจาก ฉีหวนกง เจ้าแคว้นฉีมอบหมายให้เสนาบดีก่วนจ้ง แก้ไขปรับปรุงระบบการปกครองภายใน ทำให้แคว้นฉีเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังดำเนินกุศโลบายเรียกร้องให้ ‘ พิทักษ์โจว ปราบอี๋ ' นั่นคือพิทักษ์ราชสำนักโจวและร่วมมือปราบปรามชนเผ่านอกจงหยวน อาทิเช่น ร่วมมือกับแคว้นเอี้ยนปราบชนเผ่าหรง หรือร่วมมือกับแคว้นต่าง ๆหยุดยั้งการรุกรานของชนเผ่าตี๋ เป็นต้น
เมื่อแคว้นฉีเป็นใหญ่ในดินแดนจงหยวน แคว้นฉู่ซึ่งจึงได้แต่ขยายอำนาจลงไปทางตอนใต้ เมื่อสิ้นฉีหวนกงแล้ว แคว้นฉีเกิดการแย่งชิงอำนาจภายใน เป็นเหตุให้อ่อนแอลง แคว้นฉู่จึงได้โอกาสขยับขยายขึ้นเหนือมาอีกครั้ง ซ่งเซียงกง เจ้าแคว้นซ่งคิดจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำจงหยวนแทนฉีหวนกง จึงเข้าต่อกรกับแคว้นฉู่ สุดท้ายแม้แต่ชีวิตก็ต้องสูญสิ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นพันธมิตรที่เคยอยู่ภายใต้การนำของแคว้นฉี อาทิ แคว้นหลู่ ซ่ง เจิ้ง เฉิน ไช่ สวี่ เฉา เว่ย เป็นต้น ต่างก็พากันหันมาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับแคว้นฉู่ แทน
ในขณะที่แคว้นฉู่คิดจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำจงหยวนนั้นเอง แคว้นจิ้น ก็เข้มแข็งขึ้นมา จิ้นเหวินกง หลังจากที่ระหกระเหินลี้ภัยการเมืองไปยังแคว้นต่าง ๆนั้น เมื่อได้กลับสู่แว่นแคว้นของตน ก็ทำการปรับการปกครองภายในครั้งใหญ่ เพิ่มความเข้มแข็งทางการทหาร อีกทั้งยังคิดแย่งชิงตำแหน่งผู้นำจงหยวน
ในช่วงเวลาแห่งการแย่งตำแหน่งผู้นำจงหยวนระหว่างแคว้นจิ้นและฉู่นั้นเอง แคว้นฉี และฉิน ได้กลายเป็นขั้วมหาอำนาจทางทิศตะวันออกและตะวันตกไป ในช่วงปลายยุคชุนชิว แคว้นฉู่ร่วมมือกับฉิน แคว้นจิ้นจับมือกับฉี สองฝ่ายต่างมีกำลังที่ทัดเทียมกัน ทว่า สภาวะแห่งการแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำจงหยวนกลับทวีความขัดแย้งทางการเมืองภายในของแต่ละแคว้นมากขึ้น ดังนั้น จึงถึงจุดสิ้นสุดของยุคผู้นำที่ ‘ ชูธงนำทัพ ' ออกปราบปรามบรรดาชนเผ่าภายนอก เมื่อถึงปีก่อนคริสตศักราช 579 แคว้นซ่งทำสัญญาพันธมิตรกับแคว้นจิ้นและฉู่ว่าต่างฝ่ายจะไม่โจมตีกัน มีการส่งทูตเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน จะให้ความช่วยเหลือเมื่ออีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และจะเข้าร่วมรบต้านทานศัตรูจากภายนอก
ในยุคชุนชิว (ปี 770-476 ก่อนคริสตศักราช) นี้ ความร่วมมือและสู้รบของแคว้นต่าง ๆ นอกจากเป็นการกระตุ้นความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมของแว่นแคว้นและดินแดนต่าง ๆแล้ว ยังมีส่วนช่วยเร่งเร้าการหลอมรวมเผ่าพันธุ์ระหว่างชนเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โยกย้ายผลัดเปลี่ยนฝักฝ่ายแล้ว บรรดาเจ้าแคว้นขนาดเล็กก็ทยอยถูกกลืนโดย 7 นครรัฐใหญ่ และแคว้นรอบข้างอีกสิบกว่าแคว้น
ยุคชุนชิว ในภาษาจีนหมายถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เป็นการสื่อถึงสภาพความเป็นไปในยุคชุนชิวว่าเหมือนดั่งฤดูกาลแห่งความเปลี่ยนแปลงที่พลิกผันไม่แน่นอน
แหล่งอ้างอิง http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Zhou http://www.thaisamkok.com/china-dynasty-4.shtml http://www.thaisamkok.com/china-dynasty-5.shtml
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- ถัดไป ›
- หน้าสุดท้าย »