สมัยก่อนประวัติศาสตร์จีน

รูปภาพของ sss27520
    



สมัยดึกดำบรรพ์ (10000 ปี – 4000 ปีก่อน)


        บริเวณเมืองโบราณในแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงโห ยังได้ขุดพบหลักฐานที่เป็นตัวอักษรซึ่งมีอายุประมาณ 4,000 ปีอีกด้วย อักษรโบราณดังกล่าวจารึกเรื่องราวต่าง ๆเกี่ยวกับเทพแห่งเกษตรกรรมที่ได้เพาะปลูกธัญพืช เรื่องราวของชายาของจักรพรรดิเหลืองหรือหวงตี้  นามเหลยจู่ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นการทอผ้า เรื่องราวเกี่ยวกับขุนนางของหวงตี้ที่ประดิษฐ์ตัวอักษร รถ เรือและสงครามระหว่างหวงตี้กับชือโหยว ในสมัยนั้นชนเผ่าของหวงตี้ ได้จับมือกับชนเผ่าของเหยียนตี้ ทำสงครามที่จัวลู่  เพื่อต่อสู้ปราบปรามกบฏชือโหยว (หรือชื่อหยิว ว่ากันว่าเป็นปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์ และเป็นประมุขของเผ่าตงอี๋  ซึ่งชนกลุ่มน้อยทางตะวันออกเฉียงใต้) หลังจากนั้นก็มีการสู้รบกันอีกหลายครั้ง จนในที่สุดชนเผ่าของหวงตี้และเหยี่ยนตี้เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ จึงได้ทำการรวมสองชนเผ่าเป็นหนึ่งเดียวตั้งชื่อใหม่ว่า “ ฮว๋าเซี่ย ” นี่จึงเป็นเหตุให้ประเทศจีนมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ ฮว๋าเซี่ย ” นั่นเอง ส่วนคนจีนก็มักจะเรียกตัวเองว่า “ เหยียนหวงจื่อซุน ” ซึ่งมีความหมายว่าลูกหลานขอกษัตริย์หวงและกษัตริย์เหยียน จากการค้นพบเหล่านี้เองได้แสดงว่าตำนานเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เล่าขานกันมา พวกมันสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล
  

 

                        แม่น้ำแยงซีเกียง                                                     แม่น้ำฮวงโห หรือ แม่น้ำเหลือง

ที่มารูปภาพ http://www.ngthai.com/0805/images/feat_1.jpg http://xchange.teenee.com/up01/post-128309-1260976918.jpg

 

           มนุษย์เมื่อครั้งโบราณอยู่อาศัยร่วมกันเป็นชุมชน ดังนั้นการขุดพบแหล่งโบราณคดีในปัจจุบันจึงมักสามารถเห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ร่วมกันของชุมชนนั้น เช่น จากการฝังศพสามารถทราบถึงลำดับในการฝัง เมื่อกาลเวลาผ่านไป จำนวนประชากรในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเช่นเดียวกับการแบ่งตัวของเซล ซึ่งต้องแยกตัวออกไปตั้งหลักฐานของชนเผ่ายังที่แห่งใหม่ ระหว่างพวกเขาร้อยรัดสัมพันธ์กันทางสายเลือด เกิดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ 
             

              สังคมก่อนประวัติศาสตร์นั้น เนื่องจากกำลังการผลิตยังน้อย ผู้คนจึงได้แต่อาศัยการรวมพลังกันจึงจะสามารถอยู่รอดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงานและมีการแบ่งสันปันส่วนอาหาร และเพื่อการอยู่รอดอีกทั้งมีการพัฒนาต่อไปนี้เอง พวกเขาจึงต้องคัดเลือกหัวหน้าที่ฉลาด มีความสามารถและยุติธรรม เพื่อเป็นผู้นำในการผลิต และสามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจากภายนอกอีกด้วย 
               คำเล่าขานในประวัติศาสตร์โบราณระบุว่า เหยา  สืบทอดให้ซุ่น  ซุ่นสืบทอดให้หวี่  หวี่สืบทอดให้เกาเถา และเมื่อเกาเถาตายลง อี้ ซึ่งได้รับเลือกเป็นทายาทสืบตำแหน่งหัวหน้าก็จะทำหน้าที่นำเผ่าต่อ หัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใดเลย พวกเขาต่างได้รับเลือกจากความสามารถแท้ๆ โดยทางประวัติศาสตร์แล้วเราเรียกวิธีปฏิบัติเช่นนี้ว่า “ การสละราชบัลลังก์ ” ซึ่งยุคนี้ผู้คนยังมีความเท่าเทียมกัน ทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นของส่วนกลาง ดังนั้นจึงไม่มีการแย่งชิงและโจรผู้ร้าย นักโบราณคดีเรียกสังคมในยุคนี้ว่า ‘ สังคมเอกภาพ '
 ชุมชนในยุคนั้น ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่รุนแรงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เพื่อความอยู่รอดและการพัฒนาตัวเอง อันจะเห็นได้จากเรื่องเล่าขานโบราณเกี่ยวกับต้าหวี่ปราบอุทกภัย  โดยเริ่มจากสมัยเหยาที่ต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งร้ายแรง จึงสั่งให้กุ่น  ซึ่งเป็นบิดาของหวี่ไปหาทางแก้ไข กุ่นได้ใช้วิธีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทว่าหลังจากทำงานด้วยความอุตสาหะอยู่ 9 ปี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
 ดังนั้น เมื่อซุ่นสั่งให้หวี่ (ยวี่) กั้นน้ำ หวี่ (ยวี่) ที่ได้รับสืบทอดประสบการณ์จากกุ่น จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการขุดคลองเพื่อชักน้ำ เขามุ่งมั่นนำพาพลเมืองให้ร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถึงกับไม่กลับบ้าน  เป็นเวลา 8 ปี (บ้างว่า 13 ปี) ระหว่างนั้นเค้าเคยผ่านหน้าบ้านตัวเองถึง 3 ครั้ง แต่ไม่มีเวลาที่จะเข้าไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเลยซักครั้ง ในที่สุดก็สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นผลสำเร็จ เรื่องเล่าขานนี้ได้สะท้อนถึงสภาพจิตใจของชุมชนที่ไม่หวั่นหวาดครั่นคร้ามต่อภัยธรรมชาติ
                 เมื่อกำลังการผลิตมีเพิ่มมากขึ้น ย่อมมีผลผลิตที่เหลือจากความต้องการ เหล่าเชลยศึกที่ถูกจับมาก็ไม่ถูกสังหาร แต่จะถูกนำตัวมาเป็นทาสเพื่อบังคับให้เป็นแรงงานในการผลิต โดยผลผลิตที่ได้จะตกเป็นของนายทาสนั้น สภาพการณ์เช่นนี้ ได้ก่อรูปรากฏการณ์สำคัญคือ การยึดกรรมสิทธิครอบครองทรัพย์สิน นักโบราณคดีได้ค้นพบว่าในวัฒนธรรมหลงซาน  นั้น ในการฝังศพ นอกจากโลงที่บรรจุศพนั้นแล้ว ยังมีข้าวของเครื่องใช้ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงฐานะความร่ำรวยทางสังคม บางหลุมมีเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก หยกหินประดับ งาช้างและเขี้ยวฟันล่างของหมู เป็นต้น บางหลุมศพมีขนาดไม่ใหญ่นักและมีเครื่องปั้นดินเผาเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีศพที่ฝังโดยไม่มีโลง อีกทั้งไม่มีสิ่งของที่ฝังพร้อมศพมาด้วย มีบ้างถึงกับถูกทิ้งอยู่ตามอุโมงค์ห้องใต้ดินหรือแม้แต่ลำห้วย
                  ทั้งนี้ ก็เพราะได้มีกลุ่มผู้นำจำนวนหนึ่งใช้อำนาจสิทธิพิเศษสร้างความร่ำรวย ทำให้เกิดความแตกต่างของกลุ่มคนรวยคนจน จนกลายเป็นความเหลี่ยมล้ำที่รุนแรงในสังคม สภาพโครงสร้างสังคมที่ยังเป็นยุคดึกดำบรรพ์นี้ เริ่มกลายเป็นสังคมลำดับชั้นขึ้น อันเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดยุคสมัย ระหว่างนี้ เริ่มมีการทำสงครามแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองและแรงงานทาสระหว่างชนเผ่าเกิดขึ้น และเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู ก็ได้มีการสร้างคูกำแพงเมือง อีกทั้งยังมีการผลิตอาวุธเพื่อเตรียมพร้อมรบทุกเมื่ออีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำชนเผ่าที่ได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขาละทิ้งหลักปฏิบัติเดิมของสังคมเอกภาพ การ ‘ สละราชบัลลังก์ ' ถูกระบบใหม่กลืนหายสูญพันธุ์ไปในที่สุด
                             

                    จากนั้นมา ประวัติศาสตร์จีนก็ก้าวเข้าสู่ราชวงศ์แรกที่มีการสืบทอดบัลลังก์อำนาจโดยสายเลือด นั่นคือ สมัยราชวงศ์เซี่ย

 

 

 

แหล่งอ้างอิง  http://www.thaisamkok.com/china-dynasty-1.shtml http://www.lks.ac.th/teacher/chiness/CHN%20history/china.html

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 556 คน กำลังออนไลน์