• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:b5151ffe4eea0769853335c33208b9f5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><div style=\"text-align: center\">\n<div style=\"text-align: center\">\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"380\" width=\"380\" src=\"/files/u31712/Ch-B-H.jpg\" border=\"0\" />    \n</div>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"/node/78380\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-G.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/72866\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-T.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/74804?page=0%2C0\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-BBC.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/72895\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-O.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/76193\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-Dy.jpg\" border=\"0\" /></a><br />\n<a href=\"/node/78042\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-N.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/79404\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-Ci.jpg\" border=\"0\" /></a><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-Qu.jpg\" border=\"0\" /><a href=\"/node/79405\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-m.jpg\" border=\"0\" /></a>\n</p>\n</div>\n<hr id=\"null\" />\n<p>\n<strong><span style=\"color: #ff0000\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-O.jpg\" border=\"0\" /></span></strong>\n</p>\n<p><strong><span style=\"color: #ff0000\"></span></strong></p>\n<div align=\"center\">\n<span class=\"PostHeader\"><span style=\"color: #444e32\"><span style=\"color: #ff0000\"><strong> </strong><a href=\"/node/72906\"><strong>ยุคราชวงศ์เซี่ย</strong></a><strong>   <span class=\"PostHeader\"><a href=\"/node/75289\" title=\"ยุคราชวงศ์ซาง\">ยุคราชวงศ์ซาง</a></span></strong>   <span class=\"PostHeader\"><a href=\"/node/75297\" title=\"ยุคราชวงศ์โจว\"><strong>ยุคราชวงศ์โจว</strong></a></span> </span></span></span>\n</div>\n<div align=\"center\">\n<span class=\"PostHeader\"><span style=\"color: #444e32\"><span style=\"color: #ff0000\"></span></span></span>\n</div>\n<p>\n</p></div>\n<p>\n<br />\n                 ในรัชสมัยของอู่ติง ถือเป็นช่วงเฟื่องฟูของยุคสำริดเลยทีเดียว ได้พบว่ามีร่องรอยการใช้เทคนิคในการแยกหลอมอย่างแพร่หลาย มีการหลอมสร้าง ‘ โอ่วฟางอี๋  ที่เป็นภาชนะใส่เหล้าในสมัยโบราณและ ‘ <span style=\"color: #ff0000\">ติ่ง</span> \' ซึ่งมีรูปร่างเป็นหม้อโลหะขนาดใหญ่ มีสามขาใช้ในพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าและใช้แสดงศักดิ์ฐานะทางสังคม ที่เป็นเครื่องใช้โลหะขนาดใหญ่ได้แล้ว\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"375\" width=\"500\" src=\"/files/u31712/Ding.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\nที่มารูปภาพ <a href=\"http://www.fallingpixel.com/products/12845/mains/Chinese%20Bronze%20Ding%2001.jpg\">http://www.fallingpixel.com/products/12845/mains/Chinese%20Bronze%20Ding%2001.jpg</a>\n</div>\n<p>\n              การโยกย้ายนครหลวงของราชวงศ์ซางดังกล่าว ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกัน ทว่าจากบันทึกซ่างซูในสมัยผานเกิง จะพบว่าการย้ายนครหลวงกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถึงแม้ว่าในบันทึกผานเกิงได้กล่าวถึงสาเหตุการย้ายเมืองหลวงว่า ‘ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร \' ทว่า สำหรับผู้ที่ไม่ยอมฟังคำสั่งแล้วเขาได้กล่าวไว้ว่า ‘ ข้าฯจะประหารให้สิ้น มิให้เชื้อร้ายลามสู่นครหลวงแห่งใหม่ \' ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงการต่อสู้ภายในที่ดุเดือด หลังจากย้ายนครหลวงมาที่นครยินแล้ว การขัดแย้งภายในราชวังหลวงก็ผ่อนคลายลง จึงเริ่มมีการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัชสมัยของผานเกิงจึงถือเป็นยุคฟื้นฟู และได้วางรากฐานในการเข้าสู่ยุคทองในรัชสมัยอู่ติง  </p>\n<p>\n              อู่ติงเป็นบุตรของเซี่ยวอี่  ซึ่งเป็นน้องของผานเกิง เมื่ออู่ติ่งยังเยาว์วัยนั้น เซี่ยวอี่ผู้เป็นบิดาได้ส่งให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านระยะหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงทราบดีถึงความลำบากยากแค้นของชาวบ้านธรรมดา ดังนั้น เมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจจึงมุ่งมั่นบริหารแผ่นดินด้วยความยุติธรรม เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ในรัชสมัยนี้ อู่ติงได้ยกทัพปราบปรามชนเผ่ารอบข้างไม่น้อย การใช้กำลังทหารมีตั้งแต่การใช้กำลังพลนับพัน จนถึงที่เป็นทัพใหญ่บางครั้งถึงหมื่นคน การปราบปรามครั้งนี้ ราชวงศ์ซางได้ขยายดินแดนออกไปไม่น้อย กวาดต้อนตัวประกันกลับมาจำนวนมาก ดังนั้นจึงพบความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่จากการขุดพบเป็นจำนวนมาก เช่น จากซากพระราชวัง สุสานและโรงงาน เป็นต้น<br />\n           การบูชาเทพเจ้ามีประวัติความเป็นมาอันยาวนานในประเทศจีน ซึ่งนักโบราณคดีต่างก็ได้ค้นพบหลักฐานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สังคมเกษตรกรรมเป็นต้นมา ผู้คนก็พากันร้องขอให้เทพประทานลมฝนที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกมาให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดามาก การเซ่นไหว้บรรพบุรุษหรือการนับถือผี ก็มีที่มาจากความต้องการระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วในครอบครัว จึงเกิดการสมมติเป็นภาพจากที่เคยพบเห็น ผู้คนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่ออ้อนวอนขอให้บรรพบุรุษให้ความคุ้มครองปกปักษ์รักษา ในสมัยเซี่ย ได้เริ่มมีการสักการะฟ้าเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในการนับถือศาสนา เนื่องจากผู้ปกครองสูงสุดในขณะนั้น ต้องการปกป้องอำนาจของตน จึงนำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษและลัทธิการบูชาธรรมชาติมารวมกัน เกิดเป็น ‘ ฟ้า \' หรือ ‘ ฮ่องเต้ \' ซึ่งมีลักษณะของเทพเจ้าขึ้นมา<br />\n           จากหลักฐานดังกล่าว ได้พบว่า ในสมัยซางได้มีความเชื่อเกี่ยวกับ ‘ ฟ้า \' เกิดขึ้นแล้ว อักษรจารบนกระดูกสัตว์ที่พบมีอักษรคำว่า ตี้หรือเต้  ซึ่งก็คือ ฮ่องเต้อยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อครั้งที่ซางทังยกทัพปราบเซี่ยเจี๋ยกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เซี่ยนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “ เซี่ยทำผิดต่อฟ้า จึงสมควรรับโทษทัณฑ์ ” โดยใช้คำขวัญว่า “ ฟ้ากำหนด ” เพื่อกระตุ้นความฮึกหาญของกองทัพและเหล่าผู้ร่วมสวามิภักดิ์และเป็นการแสวงหาความชอบธรรมเมื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ โดยเชื่อว่า เทพแห่งฟ้า  และเทพแห่งดิน  หรือซางอ๋อง  นั้นเป็นสิ่งคู่กัน เพื่อปฏิบัติภารกิจจากฟ้า เทพแห่งดินจึงต้องใช้พิธีกรรมในการติดต่อกับฟ้า ดังนั้น ขณะที่ซางอ๋องเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จึงใช้เครื่องบูชาทั้ง 5 สิ่ง เพื่อทำพิธีที่บริเวณลานเซ่นไหว้ในเขตสุสานหลวงบริเวณเมืองยินหรืออันหยางในปัจจุบัน นักโบราณคดีได้ขุดพบร่องรอยการบูชาในหลุมฝังศพนับพันแห่ง และพบว่าในสมัยอู่ติง  นั้น ถึงกับมีการใช้คนหลายร้อยคนเป็นเครื่องสังเวยในพิธีบูชาดังกล่าวอีกด้วย ทำให้เห็นว่าในสมัยซางนั้นให้ความสำคัญต่อการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นอย่างมาก เนื่องจากฮ่องเต้ก็คือเทพเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเทพที่เป็นบรรพบุรุษนั่นเอง <br />\n     หลังจากอู่ติงสิ้นพระชนม์ ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองก็สิ้นสุดลงภายในเวลาไม่นานนัก เมื่อมาถึงรัชสมัยของจู่เกิง  และจู่เจี่ย  จวบกระทั่งรัชสมัยตี้อี่  และตี้ซิ่ง  นั้น ศึกขัดแย้งทางการเมืองภายในก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก ขุนนางรอบข้างต่างลุกฮือขึ้นต่อต้าน แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รุนแรงนี้ แต่ซังโจ้ว  หรือตี้ซิ่ง  กลับไม่คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ทั้งไม่รับฟังคำตักเตือนจากผู้หวังดี ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ ซึ่งยิ่งโหมกระพือความขัดแย้งภายในเพิ่มขึ้น <br />\n     ขณะเดียวกัน ก็เปิดศึกกับเผ่าตงอี๋  เพิ่มภาระอันหนักอึ้งให้กับประชาชน และทำให้สูญเสียกำลังทหารภายในประเทศอีกด้วย ดังนั้น เมื่อโจวอู่หวัง  ยกทัพเข้ามาประชิดชายแดน ซังโจ้วจึงได้แต่รวบรวมกำลังพล เพื่อออกไปรับศึก ผลสุดท้ายกำลังทหารฝ่ายซัง (ซาง) ขาดกำลังใจในการรบ กลับเป็นฝ่ายยอมแพ้เปิดทางให้กับโจวอู่หวัง เมื่อเห็นดังนั้น ซังโจ้วจึงหอบทรัพย์สมบัติหลบหนีไปยังเมืองลู่ไถ สุดท้ายเสียชีวิตที่นั่น ราชวงศ์ซัง (ซาง) จึงถึงกาลสิ้นสุด\n</p>\n<p align=\"right\">\n<a href=\"/node/70565\"><img height=\"50\" width=\"125\" src=\"/files/u31712/Banner-Ch-H.jpg\" border=\"0\" /></a> \n</p>\n<p>\nแหล่งอ้างอิง <a href=\"http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang\">http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang</a> <a href=\"http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang\">http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang</a>\n</p>\n', created = 1728290704, expire = 1728377104, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:b5151ffe4eea0769853335c33208b9f5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ยุคราชวงศ์ซาง

รูปภาพของ sss27520


                 ในรัชสมัยของอู่ติง ถือเป็นช่วงเฟื่องฟูของยุคสำริดเลยทีเดียว ได้พบว่ามีร่องรอยการใช้เทคนิคในการแยกหลอมอย่างแพร่หลาย มีการหลอมสร้าง ‘ โอ่วฟางอี๋  ที่เป็นภาชนะใส่เหล้าในสมัยโบราณและ ‘ ติ่ง ' ซึ่งมีรูปร่างเป็นหม้อโลหะขนาดใหญ่ มีสามขาใช้ในพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าและใช้แสดงศักดิ์ฐานะทางสังคม ที่เป็นเครื่องใช้โลหะขนาดใหญ่ได้แล้ว

              การโยกย้ายนครหลวงของราชวงศ์ซางดังกล่าว ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกัน ทว่าจากบันทึกซ่างซูในสมัยผานเกิง จะพบว่าการย้ายนครหลวงกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถึงแม้ว่าในบันทึกผานเกิงได้กล่าวถึงสาเหตุการย้ายเมืองหลวงว่า ‘ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร ' ทว่า สำหรับผู้ที่ไม่ยอมฟังคำสั่งแล้วเขาได้กล่าวไว้ว่า ‘ ข้าฯจะประหารให้สิ้น มิให้เชื้อร้ายลามสู่นครหลวงแห่งใหม่ ' ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงการต่อสู้ภายในที่ดุเดือด หลังจากย้ายนครหลวงมาที่นครยินแล้ว การขัดแย้งภายในราชวังหลวงก็ผ่อนคลายลง จึงเริ่มมีการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัชสมัยของผานเกิงจึงถือเป็นยุคฟื้นฟู และได้วางรากฐานในการเข้าสู่ยุคทองในรัชสมัยอู่ติง 

              อู่ติงเป็นบุตรของเซี่ยวอี่  ซึ่งเป็นน้องของผานเกิง เมื่ออู่ติ่งยังเยาว์วัยนั้น เซี่ยวอี่ผู้เป็นบิดาได้ส่งให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านระยะหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงทราบดีถึงความลำบากยากแค้นของชาวบ้านธรรมดา ดังนั้น เมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจจึงมุ่งมั่นบริหารแผ่นดินด้วยความยุติธรรม เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ในรัชสมัยนี้ อู่ติงได้ยกทัพปราบปรามชนเผ่ารอบข้างไม่น้อย การใช้กำลังทหารมีตั้งแต่การใช้กำลังพลนับพัน จนถึงที่เป็นทัพใหญ่บางครั้งถึงหมื่นคน การปราบปรามครั้งนี้ ราชวงศ์ซางได้ขยายดินแดนออกไปไม่น้อย กวาดต้อนตัวประกันกลับมาจำนวนมาก ดังนั้นจึงพบความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่จากการขุดพบเป็นจำนวนมาก เช่น จากซากพระราชวัง สุสานและโรงงาน เป็นต้น
           การบูชาเทพเจ้ามีประวัติความเป็นมาอันยาวนานในประเทศจีน ซึ่งนักโบราณคดีต่างก็ได้ค้นพบหลักฐานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สังคมเกษตรกรรมเป็นต้นมา ผู้คนก็พากันร้องขอให้เทพประทานลมฝนที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกมาให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดามาก การเซ่นไหว้บรรพบุรุษหรือการนับถือผี ก็มีที่มาจากความต้องการระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วในครอบครัว จึงเกิดการสมมติเป็นภาพจากที่เคยพบเห็น ผู้คนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่ออ้อนวอนขอให้บรรพบุรุษให้ความคุ้มครองปกปักษ์รักษา ในสมัยเซี่ย ได้เริ่มมีการสักการะฟ้าเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในการนับถือศาสนา เนื่องจากผู้ปกครองสูงสุดในขณะนั้น ต้องการปกป้องอำนาจของตน จึงนำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษและลัทธิการบูชาธรรมชาติมารวมกัน เกิดเป็น ‘ ฟ้า ' หรือ ‘ ฮ่องเต้ ' ซึ่งมีลักษณะของเทพเจ้าขึ้นมา
           จากหลักฐานดังกล่าว ได้พบว่า ในสมัยซางได้มีความเชื่อเกี่ยวกับ ‘ ฟ้า ' เกิดขึ้นแล้ว อักษรจารบนกระดูกสัตว์ที่พบมีอักษรคำว่า ตี้หรือเต้  ซึ่งก็คือ ฮ่องเต้อยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อครั้งที่ซางทังยกทัพปราบเซี่ยเจี๋ยกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เซี่ยนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “ เซี่ยทำผิดต่อฟ้า จึงสมควรรับโทษทัณฑ์ ” โดยใช้คำขวัญว่า “ ฟ้ากำหนด ” เพื่อกระตุ้นความฮึกหาญของกองทัพและเหล่าผู้ร่วมสวามิภักดิ์และเป็นการแสวงหาความชอบธรรมเมื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ โดยเชื่อว่า เทพแห่งฟ้า  และเทพแห่งดิน  หรือซางอ๋อง  นั้นเป็นสิ่งคู่กัน เพื่อปฏิบัติภารกิจจากฟ้า เทพแห่งดินจึงต้องใช้พิธีกรรมในการติดต่อกับฟ้า ดังนั้น ขณะที่ซางอ๋องเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จึงใช้เครื่องบูชาทั้ง 5 สิ่ง เพื่อทำพิธีที่บริเวณลานเซ่นไหว้ในเขตสุสานหลวงบริเวณเมืองยินหรืออันหยางในปัจจุบัน นักโบราณคดีได้ขุดพบร่องรอยการบูชาในหลุมฝังศพนับพันแห่ง และพบว่าในสมัยอู่ติง  นั้น ถึงกับมีการใช้คนหลายร้อยคนเป็นเครื่องสังเวยในพิธีบูชาดังกล่าวอีกด้วย ทำให้เห็นว่าในสมัยซางนั้นให้ความสำคัญต่อการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นอย่างมาก เนื่องจากฮ่องเต้ก็คือเทพเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเทพที่เป็นบรรพบุรุษนั่นเอง
     หลังจากอู่ติงสิ้นพระชนม์ ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองก็สิ้นสุดลงภายในเวลาไม่นานนัก เมื่อมาถึงรัชสมัยของจู่เกิง  และจู่เจี่ย  จวบกระทั่งรัชสมัยตี้อี่  และตี้ซิ่ง  นั้น ศึกขัดแย้งทางการเมืองภายในก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก ขุนนางรอบข้างต่างลุกฮือขึ้นต่อต้าน แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รุนแรงนี้ แต่ซังโจ้ว  หรือตี้ซิ่ง  กลับไม่คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ทั้งไม่รับฟังคำตักเตือนจากผู้หวังดี ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ ซึ่งยิ่งโหมกระพือความขัดแย้งภายในเพิ่มขึ้น
     ขณะเดียวกัน ก็เปิดศึกกับเผ่าตงอี๋  เพิ่มภาระอันหนักอึ้งให้กับประชาชน และทำให้สูญเสียกำลังทหารภายในประเทศอีกด้วย ดังนั้น เมื่อโจวอู่หวัง  ยกทัพเข้ามาประชิดชายแดน ซังโจ้วจึงได้แต่รวบรวมกำลังพล เพื่อออกไปรับศึก ผลสุดท้ายกำลังทหารฝ่ายซัง (ซาง) ขาดกำลังใจในการรบ กลับเป็นฝ่ายยอมแพ้เปิดทางให้กับโจวอู่หวัง เมื่อเห็นดังนั้น ซังโจ้วจึงหอบทรัพย์สมบัติหลบหนีไปยังเมืองลู่ไถ สุดท้ายเสียชีวิตที่นั่น ราชวงศ์ซัง (ซาง) จึงถึงกาลสิ้นสุด

 

แหล่งอ้างอิง http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 368 คน กำลังออนไลน์