ยุคราชวงศ์ซาง
ในรัชสมัยของอู่ติง ถือเป็นช่วงเฟื่องฟูของยุคสำริดเลยทีเดียว ได้พบว่ามีร่องรอยการใช้เทคนิคในการแยกหลอมอย่างแพร่หลาย มีการหลอมสร้าง ‘ โอ่วฟางอี๋ ที่เป็นภาชนะใส่เหล้าในสมัยโบราณและ ‘ ติ่ง ' ซึ่งมีรูปร่างเป็นหม้อโลหะขนาดใหญ่ มีสามขาใช้ในพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าและใช้แสดงศักดิ์ฐานะทางสังคม ที่เป็นเครื่องใช้โลหะขนาดใหญ่ได้แล้ว
การโยกย้ายนครหลวงของราชวงศ์ซางดังกล่าว ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกัน ทว่าจากบันทึกซ่างซูในสมัยผานเกิง จะพบว่าการย้ายนครหลวงกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถึงแม้ว่าในบันทึกผานเกิงได้กล่าวถึงสาเหตุการย้ายเมืองหลวงว่า ‘ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร ' ทว่า สำหรับผู้ที่ไม่ยอมฟังคำสั่งแล้วเขาได้กล่าวไว้ว่า ‘ ข้าฯจะประหารให้สิ้น มิให้เชื้อร้ายลามสู่นครหลวงแห่งใหม่ ' ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงการต่อสู้ภายในที่ดุเดือด หลังจากย้ายนครหลวงมาที่นครยินแล้ว การขัดแย้งภายในราชวังหลวงก็ผ่อนคลายลง จึงเริ่มมีการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัชสมัยของผานเกิงจึงถือเป็นยุคฟื้นฟู และได้วางรากฐานในการเข้าสู่ยุคทองในรัชสมัยอู่ติง
อู่ติงเป็นบุตรของเซี่ยวอี่ ซึ่งเป็นน้องของผานเกิง เมื่ออู่ติ่งยังเยาว์วัยนั้น เซี่ยวอี่ผู้เป็นบิดาได้ส่งให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านระยะหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงทราบดีถึงความลำบากยากแค้นของชาวบ้านธรรมดา ดังนั้น เมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจจึงมุ่งมั่นบริหารแผ่นดินด้วยความยุติธรรม เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ในรัชสมัยนี้ อู่ติงได้ยกทัพปราบปรามชนเผ่ารอบข้างไม่น้อย การใช้กำลังทหารมีตั้งแต่การใช้กำลังพลนับพัน จนถึงที่เป็นทัพใหญ่บางครั้งถึงหมื่นคน การปราบปรามครั้งนี้ ราชวงศ์ซางได้ขยายดินแดนออกไปไม่น้อย กวาดต้อนตัวประกันกลับมาจำนวนมาก ดังนั้นจึงพบความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่จากการขุดพบเป็นจำนวนมาก เช่น จากซากพระราชวัง สุสานและโรงงาน เป็นต้น
การบูชาเทพเจ้ามีประวัติความเป็นมาอันยาวนานในประเทศจีน ซึ่งนักโบราณคดีต่างก็ได้ค้นพบหลักฐานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สังคมเกษตรกรรมเป็นต้นมา ผู้คนก็พากันร้องขอให้เทพประทานลมฝนที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกมาให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดามาก การเซ่นไหว้บรรพบุรุษหรือการนับถือผี ก็มีที่มาจากความต้องการระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วในครอบครัว จึงเกิดการสมมติเป็นภาพจากที่เคยพบเห็น ผู้คนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่ออ้อนวอนขอให้บรรพบุรุษให้ความคุ้มครองปกปักษ์รักษา ในสมัยเซี่ย ได้เริ่มมีการสักการะฟ้าเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในการนับถือศาสนา เนื่องจากผู้ปกครองสูงสุดในขณะนั้น ต้องการปกป้องอำนาจของตน จึงนำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษและลัทธิการบูชาธรรมชาติมารวมกัน เกิดเป็น ‘ ฟ้า ' หรือ ‘ ฮ่องเต้ ' ซึ่งมีลักษณะของเทพเจ้าขึ้นมา
จากหลักฐานดังกล่าว ได้พบว่า ในสมัยซางได้มีความเชื่อเกี่ยวกับ ‘ ฟ้า ' เกิดขึ้นแล้ว อักษรจารบนกระดูกสัตว์ที่พบมีอักษรคำว่า ตี้หรือเต้ ซึ่งก็คือ ฮ่องเต้อยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อครั้งที่ซางทังยกทัพปราบเซี่ยเจี๋ยกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เซี่ยนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “ เซี่ยทำผิดต่อฟ้า จึงสมควรรับโทษทัณฑ์ ” โดยใช้คำขวัญว่า “ ฟ้ากำหนด ” เพื่อกระตุ้นความฮึกหาญของกองทัพและเหล่าผู้ร่วมสวามิภักดิ์และเป็นการแสวงหาความชอบธรรมเมื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ โดยเชื่อว่า เทพแห่งฟ้า และเทพแห่งดิน หรือซางอ๋อง นั้นเป็นสิ่งคู่กัน เพื่อปฏิบัติภารกิจจากฟ้า เทพแห่งดินจึงต้องใช้พิธีกรรมในการติดต่อกับฟ้า ดังนั้น ขณะที่ซางอ๋องเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จึงใช้เครื่องบูชาทั้ง 5 สิ่ง เพื่อทำพิธีที่บริเวณลานเซ่นไหว้ในเขตสุสานหลวงบริเวณเมืองยินหรืออันหยางในปัจจุบัน นักโบราณคดีได้ขุดพบร่องรอยการบูชาในหลุมฝังศพนับพันแห่ง และพบว่าในสมัยอู่ติง นั้น ถึงกับมีการใช้คนหลายร้อยคนเป็นเครื่องสังเวยในพิธีบูชาดังกล่าวอีกด้วย ทำให้เห็นว่าในสมัยซางนั้นให้ความสำคัญต่อการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นอย่างมาก เนื่องจากฮ่องเต้ก็คือเทพเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเทพที่เป็นบรรพบุรุษนั่นเอง
หลังจากอู่ติงสิ้นพระชนม์ ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองก็สิ้นสุดลงภายในเวลาไม่นานนัก เมื่อมาถึงรัชสมัยของจู่เกิง และจู่เจี่ย จวบกระทั่งรัชสมัยตี้อี่ และตี้ซิ่ง นั้น ศึกขัดแย้งทางการเมืองภายในก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก ขุนนางรอบข้างต่างลุกฮือขึ้นต่อต้าน แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รุนแรงนี้ แต่ซังโจ้ว หรือตี้ซิ่ง กลับไม่คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ทั้งไม่รับฟังคำตักเตือนจากผู้หวังดี ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ ซึ่งยิ่งโหมกระพือความขัดแย้งภายในเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็เปิดศึกกับเผ่าตงอี๋ เพิ่มภาระอันหนักอึ้งให้กับประชาชน และทำให้สูญเสียกำลังทหารภายในประเทศอีกด้วย ดังนั้น เมื่อโจวอู่หวัง ยกทัพเข้ามาประชิดชายแดน ซังโจ้วจึงได้แต่รวบรวมกำลังพล เพื่อออกไปรับศึก ผลสุดท้ายกำลังทหารฝ่ายซัง (ซาง) ขาดกำลังใจในการรบ กลับเป็นฝ่ายยอมแพ้เปิดทางให้กับโจวอู่หวัง เมื่อเห็นดังนั้น ซังโจ้วจึงหอบทรัพย์สมบัติหลบหนีไปยังเมืองลู่ไถ สุดท้ายเสียชีวิตที่นั่น ราชวงศ์ซัง (ซาง) จึงถึงกาลสิ้นสุด
แหล่งอ้างอิง http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang