ยุคราชวงศ์ซาง
เมื่อราชวงศ์ซัง (ซาง) สืบทอดอำนาจแทนราชวงศ์เซี่ยแล้ว ก็ถือเป็นยุคสมัยที่สองของประเทศจีนที่มีสืบทอดอำนาจแบบสันตติวงศ์ จากสมัยของรัชสมัยไท่อี่ หรือซังทัง จนถึง ตี้ซิ่ง หรือซังโจ้ว ทั้งสิ้น 17 รุ่น 31 รัชกาล รวมระยะเวลา 496 ปี
หลังจากที่ซังทังก่อตั้งประเทศแล้ว เนื่องจากได้รับบทเรียนจากการล่มสลายของราชวงศ์เซี่ย จึงเลิกการกดขี่บังคับราษฎรเช่นอย่างในสมัยของเซี่ยเจี๋ย โดยหันมาใช้หลักเมตตาธรรมในการปกครอง ทำให้การเมืองภายในของราชวงศ์ซัง (ซาง) ค่อนข้างเป็นไปด้วยดี ไม่ค่อยมีความขัดแย้ง สภาพทางการเมืองค่อนข้างมีเสถียรภาพ กำลังทหารก็เข้มแข็งมากขึ้น จึงเริ่มทำสงครามกับแว่นแคว้นรอบนอก ซึ่งโดยมากก็ประสบชัยชนะ ดังในบันทึกของเมิ่งจื่อ เมธีแห่งสำนักปรัชญาของขงจื้อ ระบุไว้ว่า ‘ทังสู่สนามรบโดยไร้ผู้ต่อต้าน ' สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้การปกครองของซางทัง จีนได้กลายเป็นรัฐที่เข้มแข็งทางการทหาร
ในรัชสมัยของซังทังผู้ปกครองพระองค์แรก มีเสนาบดีที่ฉลาดปราดเปรื่องคอยช่วยเหลืออยู่ถึง 2 คน ได้แก่ อีหยิ่น และจ้งฮุย จากหลักฐานบันทึกว่า พวกเขาทั้งสองมีบทบาททางการเมืองในการบริหารราชการแผ่นดินไม่น้อยทีเดียว โดยหลังจากพวกเขาดำรงตำแหน่งเสนาบดีซ้ายขวาแล้ว ก็มีผลงานดีเด่นในการบริหารบ้านเมือง รักษาความสงบ และพัฒนาการผลิต เป็นต้น หลังจากจ้งฮุยเสียชีวิต บทบาททางการเมืองของอีหยิ่นก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น จนกลายเป็นเสนาบดีเก่าแก่คนสำคัญในรัชสมัยซังทังจนถึงไท่เจี่ย
จากบันทึกประวัติศาสตร์ว่าด้วยชนเผ่ายิน กล่าวว่า “ ไทเจี่ยครองราชย์สามปี ไม่อยู่ในธรรม ไม่เคารพกฎของซังทัง จนถูกอีหยิ่นจับคุมขังไว้ในวังถง 3 ปี จึงรู้สำนึกผิด อีหยิ่นจึงเชิญไท่เจี่ยกลับสู่บัลลังก์ จากนั้น ไท่เจี่ยก็ปกครองแผ่นดินด้วยเมตตาธรรม กระทั่งเหล่าขุนนางยอมสยบ ไพร่ฟ้าอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข นี่เป็นเรื่องเล่าที่แสดงว่า อีหยิ่นเป็นผู้ธำรงการปกครองโดยหลักธรรม ทำให้ราชวงศ์ซัง (ซาง) สามารถปกครองแผ่นดินด้วยความสงบร่มเย็นมาเป็นเวลานาน และได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานต่อมา จนทำให้ชื่อเสียงของอีหยิ่น ได้รับการเชิดชูและนำมาใช้เรียก ผู้ที่มีเมตตาธรรมและคุณธรรมสูงส่ง
ทว่า การปกครองด้วยการแบ่งชนชั้น ย่อมไม่อาจสลายความละโมบในอำนาจและการแก่งแย่งผลประโยชน์ภายในวังหลวงได้ บันทึกประวัติศาสตร์ของชนเผ่ายิน ระบุไว้ว่า “ นับแต่รัชสมัยจ้งติง เป็นต้นมา ผู้ปกครองได้ละทิ้งความชอบธรรม แต่งตั้งเชิดชูแต่พวกพ้อง เหล่าญาติมิตรต่างพากันแบ่งฝักฝ่ายเพื่อแย่งชิงอำนาจ เกิดความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เป็นเหตุให้เหล่าขุนนางกบฏก่อศึกล้มล้างราชบัลลังก์ ”
จากสมัยจ้งติงจนถึงผานเกิง นับได้ 9 ชั่วรุ่น เต็มไปด้วยการแย่งชิงบัลลังก์ภายในราชวงศ์ซัง (ซาง) อันเป็นต้นเหตุแห่งการล่มสลายของราชวงศ์ และท่ามกลางความวุ่นวายในช่วงนี้ ก็ได้มีการย้ายเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง
มีหลักฐานระบุว่า ในสมัยราชวงศ์ซัง (ซาง) มีการย้ายเมืองหลวงถึง 5 ครั้ง ได้แก่ รัชสมัยจ้งติงย้ายจากเมืองป๋อ ไปเมืองอ๋าว รัชสมัยเหอตั้นเจี่ยย้ายจากอ๋าวไปเมืองเซี่ยง รัชสมัยจู่อี่ย้ายไปเมืองปี้ รัชสมัยหนันเกิงย้ายไปเมืองอั่น และรัชสมัยผานเกิงย้ายจากเมืองอั่นไปเมืองเป่ยเหมิงหรือเมืองยิน
ทว่าในปัจจุบัน นักโบราณคดียังค้นพบหลักฐานยืนยันทางประวัติศาสตร์ของสมัยซัง (ซาง) เพียง4แห่ง ได้แก่ ร่องรอยโบราณสถานเอ้อหลี่โถว ที่เมืองเหยี่ยนซือ เมืองซางโบราณที่เมืองเจิ้นโจวและเมืองเหยี่ยนซือ อีกทั้งซากเมืองยินโบราณที่อันหยางเท่านั้น ร่องรอยของนครโบราณที่ค้นพบมีอาณาบริเวณที่กว้างขวางมาก โดยมีพื้นที่เฉลี่ยมากกว่า 30,0000 – 40,000 ตารางเมตร สำหรับซากทางโบราณคดีที่ขุดพบได้แก่ ร่องรอยของฐานรากพระราชวัง สุสานและโรงงานหัตถกรรม เป็นต้น ในบริเวณซากเมืองโบราณเอ้อหลี่โถว ยังพบร่องรอยพระราชวังครอบคลุมพื้นที่ถึง 10,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ ที่เมืองเหยี่ยนซือและเจิ้งโจวยังค้นพบกำแพงเมืองขนาดใหญ่ สำหรับซากเมืองยินที่เมืองอันหยาง ก็พบลานบูชาเทพเจ้าขนาดมหึมาในบริเวณสุสานกษัตริย์อีกด้วย
แหล่งอ้างอิง http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html#Shang