ละครกรีก
การละครและวัฒนธรรมในกรุงโรม
เมื่อเริ่มมีการละครนั้นชาวโรมันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากกรีกเหมือนอย่างที่ได้รับในงานแขนงอื่นๆ เช่น งานสถาปัตยกรรมและรูปปั้นชาวโรมันได้ขอยืมลักษณะละครของกรีกมาใช้อย่างอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขนาฏกรรมแบบใหม่ (New Comedy) จากนี้ก็ได้พัฒนาไปสู่ลักษณะละครสุขนาฏกรรมชาวบ้าน (Popular Comedy) ในแบบเฉพาะของตัวเองในเวลาต่อมา
สุขนาฏกรรมชาวบ้าน (Popular Comedy) ในกรุงโรม
แม้ว่าในยุคสมัยของโรมันนั้นจะไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของละครชั้นยอด ถึงกระนั้นชาวโรมันก็ได้พัฒนาสุขนาฏกรรมชาวบ้าน (Popular Comedy) มากมายหลากหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับมาจากการแสดงของชาวกรีก สุขนาฏกรรมชาวบ้านนี้ได้รับความสนใจอย่างแพร่ หลายในทุกระดับสังคม ชั้น วรรณะ นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวไว้ว่า วัฒนธรรมของอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีการเติบโตอย่างสูงของสุขนาฏกรรมชาวบ้านไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ คอนเสิร์ตนั้น มีความคล้ายกันอย่างมากกับวัฒนธรรมของชาวโรมัน ความบันเทิงของชาวโรมันมีความคล้ายคลึงกับปัจจุบัน เช่น การแข่งรถศึก (Chariot Racing) ขี่ม้า (Equestrian Performances) การต่อสู้ (Acrobatics) มวยปล้ำ(Wrestling) สำหรับสถานที่ชมชาวโรมันได้สร้างสิ่งก่อสร้างพิเศษ คล้ายกับสนามฟุตบอลหรือเบสบอลในปัจจุบัน 600 ปีก่อนคริสกาล เดอร์ ซอร์คัส แมกซิมุส The Circus Maximus สร้างที่โรมเพื่อการแข่งรถศึกแล้วก็มีการปรับรูปลักษณ์จนสามารถจุคนได้ถึง 60,000 ที่นั่ง โรงละครที่มีชื่อเป็นที่รู้จักของโรมคือ โคโลสเซียม (Colosseum) เป็นโรงละคร (Amphitheater) ที่สร้างขึ้นโดยชาวโรมันในศตวรรษที่ 80
ชาวโรมันพัฒนาสุขนาฏกรรมชาวบ้านที่มีพื้นฐานมาจากละคร เช่น โรมันมาม คล้ายกับกรีกมาม เป็นการรวมกายกรรม เพลง และการเต้นเข้าไว้ด้วยกัน เป็นบทตลกสั้นๆที่ส่วนใหญ่สองแง่สองง่าม การแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวโรมันที่เกิดขึ้นคือ แพนโทมาม (Pantomime) โรมันแพนโทมามนั้นต่างกันอย่างชัดเจนกับมามในยุคกรีก โรมันมามใช้นักเต้นคนเดียว คอรัสคนเดียว ร่วมไปกับดนตรี ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าคล้ายๆกับบัลเล่ย์ในยุคปัจจุบัน นักแสดงโรมันแพนโทมามนี้ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิ์หรือขุนนางชั้นสูง
สุขนาฏกรรมของโรมัน
สุขนาฏกรรมของโรมันเป็นต้นแบบอย่างชัดเจนของละครตลกตามสถานการณ์ของตะวันตก (Western Situation Comedy) แม้ว่าการละครของโรมันจะรุ่งเรืองยาวนานเกือบ 7 ศตวรรษ แต่มีงานเขียนของนักเขียนบทแค่สามคนที่เหลือรอดมาจนปัจจุบันคือ นักเขียนบทละครสุขนาฏกรรม เพลาตุส (Plautus) และเทอเรนส์ (Terance) และโศกนาฏกรรมของเซเนกา (Tragedies of Seneca)
เพลาตุส (Plautus) และเทอเรนส์ (Terance)
เพลาตุสเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดานักเขียนบทสุขนาฏกรรมของโรมัน จนได้รับสมญานามว่าเป็นปรมาจารณ์ของสุขนาฏกรรม (Master of Comedy) งานเขียนของเพลาตุสส่วนใหญ่นั้นได้พื้นมาจากสุขนาฏกรรมใหม่ของกรีก คือ ไม่มีคอรัส ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกันการเมืองปัจจุบันหรือปัญหาสังคม แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเรื่องความรัก ตัวละครเป็นแบบตายตัวจดจำได้ง่าย สุขนาฏกรรมของเพลาตุสเป็นแบบตลกจากสถานการณ์ (Farce) เช่น การผิดฝาผิดตัว ความเข้าใจผิดจากสถานการณ์ ไม่ใช่จากการพัฒนาตัวละคร บทสนทนาส่วนใหญ่มีไว้เพื่อร้อง บทละครที่มีชื่อเสียงของเขาคือ The Menaechmi เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าใจผิด ที่เกิดขึ้นกับฝาแฝดคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานที่พบในงานสุขนาฏกรรมของเขา
หลังจากเพลาตุสนักเขียนสุขนาฏกรรมโรมันคนสำคัญต่อมาคือ เทอเรนส์ เหมือนกับเพลาตุสงานของเขาส่วนใหญได้รับต้นแบบมาจากกรีก แม้ว่าละครของเขาจะมีโครงเรื่องที่ซับซ้อนเหมือนกับของเพลาตุส แต่โครงเรื่องของเขาจัดวางอย่างระมัดระวังมากกว่าและบ่อยครั้งที่มีสองโครงเรื่องในบทเดียว แนวการเขียนของเขาเป็นอิสระ มีภาษาที่ดี มีความละเอียดอ่อนในการแสดงความรู้สึกมากกว่าของเพลาตุส และไม่ได้ขยายจนเกินจริงเท่าเพลาตุส อาจกล่าวได้ว่าละครของเพลาตุสมีความเป็นละครมากกว่าของเทอเรนส์ อีกนัยหนึ่งก็คือละครของเพลาตุสก็เหมาะที่จะร้องในขณะที่บทละครของเทอเรนส์เหมาะที่จะพูดออกมา
ในยุคกลาง (Middle Age) และยุคเรเนซองซ์ (Renaissance) บทละครของเทอเรนส์ได้รับการยกย่องมากกว่านักเขียนคนใดใดในยุคกรีกและโรมัน จึงทำให้ละครของเขาเป็นต้นแบบในการเขียน นอกจากนี้รูปแบบการเขียนละตินและเนื้อหาที่แฝงศีลธรรมทำให้งานเขียนของเขาเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ครู อาจารย์ ตลอดจนนักวิชาการ