พระราชประวัติสมเด็จย่า 3
หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นเวลา 3 ปีเศษ ใน พ.ศ. 2481 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จย่า พระเชษฐภคินี และพระราชอนุชา ก็ได้เสด็จนิวัติพระนคร เพื่อทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรของพระองค์เป็นครั้งแรก เมื่อเสด็จฯ สู่พระนครได้ 1 วัน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศสถาปนาพระอิสริยยศพระราชชนนีศรีสังวาลย์ขึ้นเป็นครั้งแรก “สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481
ตลอดเวลา 2 เดือนที่ประทับอยู่ในพระนคร ผู้ที่มีโอกาสได้เฝ้าชมพระบารมี ต่างปลื้มปีติและชื่นชมในพระจริยวัตรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อยยิ่งนัก ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ที่มีส่วนสำคัญที่ทรงเพียรปลูกฝังอบรมพระกิริยาอัชฌาศัยของยุวกษัตริย์ไทยให้งดงามเหมาะสม คือ สมเด็จย่า
โดยที่ทรงเห็นว่า พระโอรสทรงพระเยาว์ ความรู้เรื่องเมืองไทยมีน้อย สมเด็จย่าจึงทรงขอให้กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบัน คือ กระทรวงศึกษาธิการ) จัดการรายการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระอารามและโบราณสถานที่สำคัญในเขตพระนครและธนบุรี เพื่อเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของชาติ นอกจากนี้ สมเด็จย่ายังทรงชักจูงให้พระโอรสธิดาทรงใฝ่ในการกุศล ช่วยเหลือการสาธารณสุขและการแพทย์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานเงินส่วนพระองค์สร้างโรงพยาบาลอานันทมดิดล ที่จังหวัดลพบุรี พระราชอนุชาและพระเชษฐภคนีพระราชทานเงินสร้างสุขศาลา ที่จังหวัดสมุทรสาคร
ครั้นถึงวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2481 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จย่า พระเชษฐภคนีและพระราชอนุชา จากประเทศไทยกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอุบัติขึ้นในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2482 ได้เพิ่มความยากลำบากในพระชนมชีพของสมเด็จย่า ในฐานะหัวหน้าครอบครัว พระองค์ทรงใช้พระสติปัญญาความสามารถอย่างเต็มที่ประคับประคองรักษาครอบครัวเล็กๆ ของพระองค์ให้ผ่านพ้นภัยในรูปแบบต่างๆ สภาพชีวิตในพระตำหนัก วิลล่าวัฒนาที่เมืองโลซานระหว่างสงครามโลกไม่ต่างจากครอบครัวชาวสวิสอื่นๆ นัก ทรงรับบัตรปันส่วนเช่นเดียวกับครอบครัวสวิส เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมหาวิทยาลัยก็เสด็จโดยจักรยานพระที่นั่ง สมเด็จย่าทรงใช้ขี้เถ้าแทนสบู่ ทรงทำเนยและเก็บผลไม้มาทำแยมเก็บเอาไว้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเล่าพระราชทานคณะผู้จัดทำหนังสือเรื่อง “สมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี” ของโครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนหนึ่งว่า
“(ทูลกระหม่อมพ่อทรงเล่าว่า) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ลำบากเหมือนกัน สมเด็จย่าถึงได้มีความพยายามระมัดระวังเป็นแม่บ้านที่ดี ในระยะนั้นไม่มีการปันส่วนผลไม้ แต่ก็ไม่มีผลไม้อะไรมากนัก ได้อาศัยผลไม้จากสวนในบริเวณพระตำหนัก เช่น สตรอเบอรี่ แพร์ ส่วนผลไม้ตะวันออก เช่น กล้วยและส้มขาดแคลน”
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงเล่าพระราชทาน คณะผู้จัดทำหนังสือเล่มเดียวกันว่า “มีแต่แอปเปิ้ลเป็นของธรรมดาที่สุด แม่ก็พยายามหาสีเขียวสีแดงให้ดูแปลกไป...มีแต่แอปเปิ้ลตลอดศก...หลังสงครามไม่อยากทานแอปเปิ้ลเลย
อย่างไรก็ตาม สมเด็จย่ายังทรงรักษาประเพณีที่สมเด็จพระบรมราชชนกเลยทรงปฏิบัติ คือ พระราชทานเลี้ยงอาหารไทยแก่คนไทยในวันเสาร์ แต่เนื่องจากนักเรียนไทยมีมากขึ้นเพราะระหว่างสงคราม นักเรียนไทยที่เคยศึกษาในประเทศเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส และอิตาลีได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองต่างๆ ของสวิสเซอร์แลนด์ พระองค์จึงไม่สามารถที่จะพระราชทานเลี้ยงอาหารไทยแก่นักเรียนไทยทุกคนได้ โปรดให้ผลัดเปลี่ยนกันมา นักเรียนไทยเหล่านั้นต่างประสบปัญหาที่ส่งเงินจากประเทศไทยล่าช้า บางเดือนเงินทองก็มาไม่ถึง สมเด็จย่าก็ทรงเกื้อกูลผู้ที่ขัดสน บ้างก็พระราชทานเงินให้ยืม บ้างก็ให้เลยก็มี ทั้งๆ ที่ขณะนั้นพระองค์ทรงประสบปัญหาการส่งเงินมาถวายล่าช้าเหมือนกัน
สมเด็จย่า ได้ทรงเอาพระทัยใส่ในการศึกษาของพระโอรสธิดามาก โปรดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชอนุชาทรงศึกษาที่โรงเรียน
เอกอล นูเวลล์ เมืองโลซานจนถึง พ.ศ. 2484 ซึ่งในช่วง 2 ปีสุดท้ายของการศึกษาที่โรงเรียนแห่งนั้น โปรดให้ทรงเข้าเป็นนักเรียนประจำ เพื่อให้ทรงทราบชีวิตของนักเรียนประจำที่ต้องช่วยเหลือพระองค์เองทุกอย่าง ส่วนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติที่เมืองเจนิวา นอกจากนี้ทรงหาพระอาจารย์สอนพิเศษประจำที่พระตำหนัก ทรงจากหญิงชาวอังกฤษเป็นพระพี่เลี้ยงระหว่างโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการศึกษาภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยก็มิได้ทรงละเลย โปรดให้นายเปรื่อง ศิริภัทร พระอาจารย์ถวายพระอักษรไทยที่ทางรัฐบาลส่งมาถวายพระอักษรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระราชอนุชาและสมเด็จพระเชษฐภคนี ดังนั้น การตัดสินพระทัยประทับในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในช่วงวิกฤติการณ์สงครามโลก การศึกษาของพระโอรสธิดาจึงมิได้หยุดชะงัก สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงพระปรีชาสามารถด้านการศึกษา ใน พ.ศ. 2485 ทรงสอบผ่านชั้นสุดท้ายเทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย และได้ทรงเข้าศึกษาวิชาเคมีต่อที่มหาวิทยาลัยโลซาน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ก็ทรงเปลี่ยนแผนการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เช่นกัน หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายใน พ.ศ. 2486 เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ได้ทรงเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซาน และอีก 2 ปีต่อมา สมเด็จพระราชอนุชาก็เสด็จเข้าศึกษาต่อทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
วันคล้ายวันพระราชสมภพ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเป็นวันที่มรความหมายพิเศษยิ่งสำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระประยูรญาติ และเหล่าคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ข้าราชการและนักเรียนไทยพากันไปเผ้าฯ ถวายพระพรคับคั่งในตอนเย็น บรรดาคนไทยได้ร่วมจัดงานเลี้ยงถวาย ณ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดนตรีร่วมกับนักดนตรีสมัครเล่นทั้งหลาย เป็นงานเลี้ยงที่สนุกสนานรื่นเริง ความเงียบเหงาเศร้าใจ ความวิตกกังวลถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นอันสิ้นสุดลงได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงบรรลุราชนิติภาวะแล้ว และกำลังจะเสด็จพระราชดำเนินกลับมาทรงเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระราชอนุชาและสมเด็จย่าออกจากสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2488 นิวัติพระนครอีกครั้งหนึ่ง โดยเครื่องบินพระที่นั่งถึงพระนคร ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488
ระหว่างประทับในพระนคร สมเด็จย่าได้ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระราชอนุชาไปพร้อมกันทั้งสามพระองค์ ไม่ว่าจะเสด็จงานพระราชพิธี งานทั่วไป เสด็จประพาสสถานที่ต่างๆ หรือเสด็จเยี่ยมราษฎร ด้วยเหตุที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชอนุชาประทับอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลานาน ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเมืองไทย จึงไม่ค่อยจะทรงทราบมากนัก เมื่อเสด็จพร้อมกัน สมเด็จพระราชโอรสทรงสงสัยใคร่รู้เรื่องราวประการใดก็สามารถทูลถามสมเด็จย่าได้ทันที
การตามเสด็จนิวัตพระนครครั้งที่ 2 นี้ สมเด็จย่าทรงมีพระชนมายุ 45 พรรษา ทรงสำราญพระราชหฤทัยมาก สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ความสงบสุขได้บังเกิดขึ้น พระราชภาระของพระองค์ในการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสธิดาก็ทรงผ่อนคลายลง พระโอรสธิดาทั้งสามพระองค์ทรงเจริญพระชนม์เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมด้วยสติปัญญาฉลาดเฉลียว สามารถปกครองดูแลพระองค์เองได้ ความนิยมชมชื่นของอาณาประชาราษฎรที่มีต่อพระโอรสทั้งสองพระองค์อย่างไม่เสื่อมคลายก็น่าจะยังความปลาบปลื้มปีติให้บังเกิดขึ้นในพระราชหฤทัย
สมเด็จย่าได้ประทับอยู่เมืองไทยกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระโอรสองค์ที่ 2 จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2489 รัฐบาลในเวลานั้นได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ทรงเลื่อนกำหนดเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ออกไปก่อน เพื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แก่ปวงชนชาวไทย ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมสภาผู้แทนใน
วันที่ 1 มิถุนายน ศกเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับคำกราบบังคมทูลของรัฐบาล และทรงกำหนดวันเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่ไม่ทันถึงวันนั้น เหตุการณ์อันเศร้าสลดที่ไม่นึกฝันก็อุบัติขึ้นเสียก่อนในตอนเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนกำหนดวันเสด็จพระราชดำเนินจากประเทศไทยเพียง 4 วัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ต้องพระแสงปืน สวรรคต
ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเป็นเอกฉันท์กราบบังคมทูลเชิญพระราชปิโยรสพระองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
ได้ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จจากเมืองไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เพื่อทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซาน โดยทรงเลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่เลยทรงศึกษาไว้แต่เดิม เพื่อความเหมาะสมกับพระราชภารกิจแห่งพระมหากษัตริย์ ระหว่างนั้น สมเด็จย่าก็ยังทรงทำหน้าที่ “แม่บ้าน” ในพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ทรงดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โปรดทรงงานด้วยพระองค์เอง ตอนเช้าทรงขับรถไปจ่ายตลาดด้วยพระองค์เองและหลังจากเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้ว ทรงใช้เวลาว่างทำสวนในบริเวณพระตำหนัก ทรงพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ตัดขลิบกิ่งไม้และกวาดใบไม้ ในเวลาบ่ายทรงเสด็จไปฟังบรรยายวิชาที่สนพระราชหฤทัยที่มหาวิทยาลัยโลซาน บางครั้งเมื่อว่างจากพระราชกิจในการศึกษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จย่าจะเสด็จประพาสชนบทและประเทศใกล้เคียง เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส และลิคเตนสไตน์ ทั้งสองพระองค์โปรดทอดพระเนตรสถานที่สำคัญของเมืองต่างๆ และพอพระราชหฤทัยชมทัศนียภาพที่งดงามและเงียบสงบในชนบท ซึ่งจะเสด็จประพาสชนบทบ่อยครั้ง เมื่อทรงเห็นดอกไม้ที่ขึ้นข้างทางกำลังบานสะพรั่งสวยงาม สมเด็จย่าจะทรงหยุดรถเพื่อเก็บดอกไม้ป่าเหล่านั้นกลับไปที่ประทับ แต่แล้วในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องเสด็จเข้ารับการรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล สมเด็จย่าทรงทุ่งเทพระกำลังดูแลพยาบาลพระราชปิโยรส จนมีพระอาการดีขึ้น แพทย์จึงได้กราบบังคมทูลแนะนำให้สมเด็จย่า เสด็จไปประทับเปลี่ยนพระอิริยาบถในชนบทเป็นการครั้งคราว
หลังจากนั้น พสกนิกรก็ได้รับข่าวอันเป็นที่น่าปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาคนโตของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) อัครราชทูตไทยประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492
หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ ตำหนักพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม ศกเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง และสถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ให้ดำรงราชฐานันดรเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี อีก 6 ปีต่อมา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
อีก 1 ปีต่อมา หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จย่าก็ได้ทรงชื่นชมกับพระราชนัดดาคือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ที่เมืองโลซาน ทรงเป็นพระราชนัดดาพระองค์ที่ 2 ต่อจากคุณทัศนาวลัย รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ (ปัจจุบันคือ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม) พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรแล้ว ก็ได้มีพระประสูติกาลพระราชโอรสธิดาอีก 3 พระองค์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ใน พ.ศ. 2520 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500
วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนามพระอัฐิ สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเฉลิมพระนามสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
แหล่งอ้างอิง:
http://www.theprincessmothermemorialpark.org/index.php?option=com_content&view=article&id=61&Itemid=53#07