เข้าสู่เขาวงกตชูชกก็ได้พบพรานเจตบุตรผู้รักษาปากทางหมาไล่เนื้อที่พราน เลี้ยงไว้พากันรุมไล่ต้อน ชูชกขึ้นไปจนมุมอยู่บนต้นไม้ เจตบุตรก็เข้า
ไปตะคอกขู่ ชูชกนั้น เป็นคนมีไหวพริบ สังเกตดูเจตบุตรก็รู้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์
มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ขาดไหวพริบ จึงคิด จะใช้วาาจาลวง เจตบุตรให้หลงเชื่อ
พาตนเข้าไปพบพระเวสสันดรให้ได้ชูชก จึงกล่าวแก่เจตบุตรว่า"นี่แนะ เจ้าพราน
ป่าหน้าโง่ เจ้าหารู้ไม่ว่าเราเป็นใคร ผู้อื่นเขาจะเดินทางมาให้ยากลำบากทำไม
จนถึงนี่ เรามาในฐานะทูต ของพระเจ้าสญชัยเจ้าเมืองสีวีจะมาทูลพระเวสสันดร
ว่าบัดนี้ชาวเมืองสีวีได้คิดแล้วจะมาทูลเชิญเสด็จกลับพระนครเราเป็นผู้มาทูล
พระองค์ไว้ก่อนเจ้ามัวมาขัดขวางเราอยู่อย่างนี้เมื่อไรพระเวสสันดรจะได้
เสด็จคืนเมือง"เจตบุตรได้ยินก็หลงเชื่อเพราะมีความจงรักภักดีอยากให้
พระเวสสันดรเสด็จกลับ เมืองอยู่แล้ว จึงขอโทษชูชกจัดการหาอาหารมาเลี้ยงดู
แล้วชี้ทางให้เข้าไปสู่อาศรมที่พระเวสสันดรบำเพ็ญพรตภาวนาอยู่เมื่อชูชก
มาถึงอาศรมก็คิดได้ว่าหากเข้าไปทูลขอพระโอรสธิดาในขณะพระนางมัทรี
อยู่ด้วยพระนางคงจะไม่ยินยอมยกให้เพราะความรักอาลัยพระโอรสธิดา
จึงควรจะรอจนพระนางเสด็จไปหาผลไม้ในป่าเสียก่อนจึงค่อยเข้าไปทูลขอ
ต่อพระเวสสันดรเพียงลำพังในวันนั้นพระนางมัทรีทรงรู้สึกไม่สบาย พระทัยเป็นอย่างยิ่งเพราะในตอนกลางคืนพระนางทรงฝันร้ายว่า มีบุรุษ
ร่างกายกำยำถือดาบมาตัดแขนซ้าวขวาของพระนางขาด ออกจากกาย บุรุษนั้นควักดวงเนตรซ้ายขวาแล้วยังผ่าเอาดวงพระทัยพระนางไปด้วย
พระนางมัทรีทรงสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น จึงทรง ละล้าละลังไม่อยาก
ไปไกลจาก อาศรมแต่ครั้นจะไม่เสด็จไปก็จะไม่มีผลไม้ มาให้พระเวสสันดร
และโอรสธิดาเสวยพระนางจึงจูงโอรสธิดาไปทรงฝากฝังกับพระเวสสันดร,
ขอให้ทรงดูแล ตรัสเรียกหาให้เล่นอยู่ ใกล้ๆ บรรณศาลา พร้อมกับเล่า
ความฝันให้พระเวสสันดรทรงทราบพระเวสสันดรทรงหยั่งรู้ว่าจะมีผู้มาทูลขอ
พระโอรสธิดา แต่ครั้นจะบอกความตามตรง พระนางมัทรีก็คงจะทนไม่ได้

Next