ลักษณะทั่วไป
"ชะมวงกวาง" ไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก สูง 8-10 เมตรอยู่ ในวงศ์ BONNETIACEAE ลำต้นตรงเปลือกต้นสีเทาอมน้ำตาล มีร่องแตก ตลอดแนว โคนต้นมีรากค้ำ แตกกิ่งทิ้งช่วงเป็นระยะคล้ายหูกวาง ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงขึ้นเวียนสลับตามกิ่ง รูปทรงรีกึ่งหอกกว้าง 2-3 ซม. ยาว 8-12 ซม. โคนใบมน บางใบมีเว้าเล็กน้อย ปลายใบแหลม ผิว ใบเกลี้ยง ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนง ใบบางไม่ค่อยชี้ ดอกออกเป็น ช่อเดี่ยว ตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบรองดอก 5 กลีบ ขอบกลีบ จะเกยกัน ส่วนดอกเวลาบานมี 5 กลีบ สีชมพูอ่อน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 ซม. ผลรูปทรงเป็นกรวยกว้างราว 1 ซม. เศษๆ ผลแก่จะแตก จากโคนมาหาปลาย ไม้ชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นมีขนาดย่อมจนถึงขนาดกลาง
ใบ : จะมีลักษณะแข็งและยาวหนา คล้ายกับในมะดัน
ดอก : ดอกนั้นเล็ก กลีบดอกจะแข็ง เช่น มะดันสีนวลเหลือง และมี
กลิ่นหอม ดอกจะดกมาก ใหญ่ประมาณ 10-15 มม.
ประโยชน์และความสำคัญ
ทางยา ใบและผลรสเปรี้ยว สรรพคุณ ระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการและใบผสมกับยาชนิดอื่นปรุงเป็นยา ขับเลือดเสีย ราก สรรพคุณแก้ไข้
ทางอาหาร ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ยอดอ่อนรับประทานเป็นผัก ออกในฤดูฝน ส่วนลูกของชะมวงมีรสเปรี้ยว เป็นผลไม้ป่า
ที่รับประทานเล่นรสและประโยชน์ต่อสุขภาพยอดอ่อนและใบอ่อนของ ชะมวงรสเปรี้ยว ช่วยระบาย แก้ไข้ เสมหะแก้ธาตุพิการ
ใบชะมวง 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 51 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย 3.2 กรัม
สรรพคุณทางยา
- ด้านสมุนไพร ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรและมีสรรพคุณคือ
- ราก รสเปรี้ยว แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ยาถอน พิษไข้ แก้บิด เสมหะ เป็นพิษ
- ใบ รสเปรี้ยว ยาระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิต แก้ไอ แก้กระหายน้ำ
- ผล รสเปรี้ยว ระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการ แก้กระหายน้ำ ฟอกโลหิต
คุณค่าทางโภชนาการ
ปริมาณคุณค่าสารอาหาร ส่วนที่ใช้เป็นอาหารของชะมวงคือ ใบอ่อน จำนวน 100 กรัม และสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งกองโภชนาการกรม อนามัย รายงานไว้ในปี พ.ศ. 2535 ประกอบด้วย พลังงาน 51 กก.แคลอรี่ น้ำ 84.1 กรัม โปรตีน 1.9 กรัม ไขมัน 0.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 9.6 กรัม กาก 3.2 กรัม เถ้า 0.6 กรัม แคลเซียม 27 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ 7,333 หน่วยสากล (I.U.) วิตามินบี1 มี 0.70 มิลลิกรัม วิตามินบี2 มี 0.04 มิลลิกรัม วิตามินซี 29 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.2 มิลลิกรัม
การกระจายพันธุ์
ในประเทศไทย พบขึ้นตามป่าดงดิบถึงระดับน้ำทะเลปานกลาง 600 ม. และป่าเบญจพรรณทั่วๆ ไป ทางภาคตะวันออก
และป่าพรุทางภาคใต้ ขึ้นได้ดีในดินภาคเหนือและภาคอีสาน พบว่าเจริญเติบโตได้ดี
การใช้ประโยชน์
- ด้านเนื้อไม้แปรรูป ใช้ในการก่อสร้างได้ดี
- ด้านน้ำยาง สีเหลืองจากต้นสมัยก่อนใช้ผสมในน้ำมันชักเงา
- ด้านการฟอกหนัง ทางภาคใต้ของประเทศไทย นิยมนำผลและใบแก่มาหมักเป็นน้ำกรด สำหรับฟอกหนังวัวและ
ควายที่ใช้แกะสลักรูปหนังตะลุง - ด้านการทำสีย้อม เปลือกต้นและยางให้สีเหลือง ไม่มีรายงานว่าภาคใดใช้ และใช้กับเส้นใยไหมหรือฝ้าย
ข้อมูลบางส่วนนำมาจาก: http://student.nu.ac.th