เศรษฐกิจ ร.3
![](/files/u19301/465d2f0d3ab59.gif)
การปรับปรุงภาษีอากร
เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินในราชการแผ่นดินมากเพราะเกิดสงครามระหว่งไทยกับญวนซึ่งรบกันอย่างยืดเยื้อเป็นเวลานานถึง 14 ปีเศษ นอกจากนี้ยังต้องใช้จ่ายในการปฏิสังขรณ์วัดวาอารามอีกมาก จึงมีการปรับปรุง การเก็บภาษีอากรดังนี้ 1 . แก้ไขวิธีการเก็บภาษีอากร เช่น อากรค่านา ในสมัยรัชกาลก่อน ๆ ใช้วิธีเรียกเก็บ หางข้าว (ข้าวเปลือก) เช่น เก็บในอัตราไร่ละ 2 สัดครึ่ง เจ้าของที่นาจะต้องขนข้าวเปลือกมาส่งฉางหลวงเอง ในสมัยรัชกาลที่ 3 เรียกเก็บอากรค่านาเป็นตัวเงิน โดยคิดในอัตราไร่ละ 1 สลึงและเก็บค่าขนส่งเข้าฉางหลวงในอัตราไร่ละ 1 เฟื้อง 2 . ตั้งภาษีอากรขึ้นใหม่อีก 38 ประเภท เช่น บ่อนเบี้ยจีน หวย ก.ข. ภาษีเบ็ดเสร็จ ภาษีพริกไทย ภาษีฝาง ภาษีเกลือ ภาษีไม้แดงเป็นต้น 3 . กำเนิดระบบเจ้าภาษีนายอากร ภาษีที่สำคัญ บางอย่างรัฐบาลเป็นผู้เก็บเอง นอกนั้นจะให้เอกชนประมูลใครประมูลได้ จะได้ชื่อว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ระบบเจ้าภาษีนายอากรนี้ยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 4 . มีการยกเลิกภาษีบางชนิด เช่น ภาษีฝิ่น อากรค่าน้ำ ซึ่งเรียกเก็บจากชาวประมงอากรรักษาเกาะ ซึ่งเรียกเก็บจากผู้เก็บไข่จาระเม็ด (ฟองเต่าตนุ)
การค้าขายกับต่างประเทศ
ส่วนใหญ่ทำการค้ากับจีน และค้าขายกับหัวเมืองมลายู พ่อค้าจีนในกรุงเทพฯ ได้ส่งสำเภาไปค้าขายถึงสิงคโปร์และเกาะหมาก การเปลี่ยนแปลงทางการค้าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีดังนี้ 1. การค้าโดยการแต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายลดน้อยลง 2. ผ่อนคลายการค้าแบบผูกขาดและยกเลิกประเพณีการค้าขายของทางราชการบางประการ อันเนื่องมาจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษ
3. เรือสินค้าเริ่มเปลี่ยนจากเรือสำเภามาเป็นเรือกำปั่นใบ ซึ่งคนไทยต่อขึ้นครั้งแรกในเดือน ตุลาคม 2378 โดยหลวงนายสิทธิ์ ( ช่วง บุนนาค )( สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 )
กลับหน้าหลัก หน้าถัดไป ย้อนกลับ