ระบบสุริยะ
(THE SOLAR SYSTEM)
ในบรรดาดาวฤกษ์นับพัน
ๆ ดวงที่ประกอบเป็นกาแล็กซีของเรานั้นมีอยู่ดวงหนึ่งซึ่งเป็นดาวฤกษ์ขนาดกลางอยู่แถบชายขอบของกาแล็กซี
ที่เราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะว่าเราอยู่ใกล้กับมัน ดาวฤกษ์ดวงนี้คือดวงอาทิตย์
(the sun) นั่นเอง ดาวฤกษ์ที่ไม่เหมือนดาวฤกษ์ใดดวงนี้กับดาวเคราะห์ทั้งหลายที่เป็นบริวารซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์นี้ก่อให้เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า
ระบบสุริยะ (solar system) ซึ่งประกอบด้วยดาวเคราะห์ที่รู้จักกับแล้ว
ดาวบริวารต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าวงแถบดาวเคราะห์น้อย
(the Asteriod belt) ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี วงแถบดาวเคราะห์น้อยนี้อาจจะเป็นเศษเหลือจกาการที่ดาวเคราะห์เก่าแก่ที่ถูกทำลายลงก็ได้
ดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร
(THE SUN AND ITS PLANETS) ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ทุกดวง
แม้แต่ดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุด มวลสารของระบบสุริยจักรวาลเกือบร้อยละ
99 อยู่ในดวงอาทิตย์ ส่วนที่เหลือกระจัดกระจายกันไปเป็นดาวเคราะห์ทั้งหมด
ดาวเคราะห์เหล่านี้หมุนรอบตัวเองตามวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ระยะเวลาที่ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ
1 รอบ เรียกว่า 1 ปี สำหรับโลกใช้เวลาประมาณ
365 วัน แต่ระยะเวลา 1 ปีของดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าดาวเคราะห์ดวงนั้น
ๆ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากเท่าใด ระยะเวลา 1 ปีที่สั้นที่สุดเป็นของดาวพุธ
(Mercury) คือเพียง 88 วันเท่านั้น และระยะเวลา 1
ปีที่ยาวที่สุดเป็นของดาวยม (พลูโต pluto) ซึ่งเท่ากับ
248 ปีของโลก
การก่อเกิด (ORIGINS)
เมื่อราว
5 พันล้านปีมาแล้ว ในบริเวณที่เป็นระบบสุริยะปัจจุบันเต็มไปด้วยธุลีและก๊าซจากดาวฤกษ์ประเภทซูเปอร์โนวา
(supernova) ดวงหนึ่งที่ระเบิดออกมาก่อนหน้านั้น ต่อมาสสารต่าง
ๆ เหล่านี้ก็ควบแน่นเข้ากันด้วย แรงของความถ่วง (the force of
gravity) ทำให้เกิดเป็นแกนที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นแกนหนึ่ง ซึ่งแกนนี้ได้ดึงดูดเอาสสารทั้งหลายเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มที่ก่อรูปขึ้นเป็นดวงอาทิตย์
ส่วนสสารที่เหลือก็ก่อรูปขึ้นเป็นกลุ่มรูปจานแบนรอบดาวฤกษ์ดวงนี้
ต่อมาการปะทะกันระหว่างอนุภาคต่าง ๆ และก้อนหินเล็ก ๆ
ยังผลให้เกิดการคอดตัวขึ้นในที่บางแห่ง ซึ่งต่อมาก็ขาดออกจากกันกลายเป็นก้อนมวลหลายก้อนที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์ในปัจจุบัน
กฎของโบด (BODE'S
LAW) นักดาราศาสตร์ผู้นี้ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์กับดาวงอาทิตย์เป็นตัวเลขที่น่าสนใจอันดับแรก
คือจำนวนเลขอนุกรมที่เริ่มด้วย 0 แทนดาวพุธกับ 3
แทนดาวศุกร์ และจำนวนเลขถัดมาที่แทนดาวเคราะห์ต่าง ๆ ซึ่งปรากฎว่าเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองเท่าตัวโดยตลอด
และถ้าเราเอา 4 บวกเข้าไปกับเลขแต่ละจำนวนแล้วหารด้วย 10 เราก็จะได้จำนวนเลขอนุกรมใหม่
ซึ่งมีเลข 1 เป็นระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ และออกจะเป็นการบังเอิญที่ว่าเลขที่ว่าเลขแต่ละจำนวนเป็นเลขแสดงระยะทางจากดาวเคราะห์ดวงนั้น
ๆ ถึงดวงอาทิตย์ที่ถูกต้องเกือบจะตรงเผงทีเดียว
พุธ
|
ศุกร์
|
โลก
|
อังคาร
|
เคราะหฺน้อย
|
พฤหัสบดี
|
เสาร์
|
ยูเรนัส
|
เนปจูน
|
พูลโต
|
0
|
3
|
6
|
12
|
24
|
48
|
96
|
192
|
384
|
768
|
0.4
|
0.7
|
1
|
1.6
|
2.8
|
5.2
|
10
|
19.6
|
38.8
|
77.2
|
|