word begin

 

เมื่อแรกเริ่ม... .

จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆ ความสับสนนั่นก็ค่อยๆ แตกแยกออก เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลาง เป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้ ภายในห้วงนี้อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดที่จะแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวเหนือเรียกกินนันกาแก็บ -Ginnungagapทิศเหนือของกินนันกาแก็บ เป็นอาณาเขตของ นิฟล์เฮม-Niflheim โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ น้ำพุ เวอร์เกลเมอร์-Hvergelmir แฝงตัวอยู่ที่นี่ และน้ำจากน้ำพุก็เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งก็ไหลไปไหนไม่พ้นนอกจากจะไปสู่ห้วงกินนันกาแก็บ เมื่อเจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆ แข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม
ทางใต้ของกินนันกาแก็บ คือมัสเปลส์เฮม-Muspelsheim แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา เป็นที่อยู่อาศัยของเซิร์ท-Surtr ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรก ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งล้างโลกในวาระสุดท้าย (ตอนแร็คนาร็อคนั่นเองคะ) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลส์เฮมเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ยักษ์เซิร์ทจึงเบื่อเอามากๆ มันไม่นรู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของ และส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆ
ความร้อนที่มาจากประกายไฟนี่ละคะ นานเข้า บ่อยเข้า มันก็ทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายกลายเป็นไอ ไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปีน้ำค้างเหล่าก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งคือยักษ์ตนแรก อีเมอร์-Ymir กับวัวออดฮัมลาAudhumlaเมื่อเกิดแล้ว ทั้งอีเมอร์และออดฮัมลา ก็หิวละซิคะ อีเมอร์ หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัวก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้ายหน่อย หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆ ปรากฏว่าน้ำลายอุ่นๆ ของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือเทพบูรี-Buri ผมของเขาโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นหัว เป็นตัว เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง คนนี้ละคะนับเป็นปู่ของเทพทั้งหมดทีเดียว
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าอีเมอร์จะไม่สนใจนอกจากทำให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา อีเมอร์ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็อิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไปหน่อย เลยง่วง เขาก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้งหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทลอยละล่องเข้ามาตกอยู่ข้างตัวเรื่อยๆ มันสร้างความอบอุ่นทำให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แหม๊ แต่ว่าเหงื่อของยักษ์ตัวแรกนี่ประหลาดจริงๆ นะคะท่านผู้อ่าน เพราะมันทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นนะ ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด ธรุดเกลเมอร์ Thrudgelmir ส่วนเหงื่อจากใต้จั๊กกะแร้ข้างซ้ายกลายเป็นยักษ์ชายและหญิงคู่หนึ่งถึงแม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆ กับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ
กลับมาที่บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์คนนี้มีลักษณะเดียวกับอีเมอร์ตรงที่จู่ๆ เมื่อเกิดขึ้นเองแล้วก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย ลูกของเขามีชื่อว่า บอร์-Bor บอร์แต่งงานกับเบสล่า-Bestla ยักษีลูกสาวคนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการแต่งงานเป็นเทพสำคัญสามองค์ โอดิน(Odin) วิลี(Vili) และวี(Ve) สามคนนี่เป็นต้นวงศ์ของเทพอีเซอร์Aesir ผู้ครองสวรรค์

คราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้นละ ธรุดเกลเมอร์ กับลูกชายชื่อ เบอร์เกลเมอร์-Bergelmir ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมาตะหงิดๆ ทั้งสองก็เลยช่วยกันรวบรวมพี่น้องๆ ที่เกิดขึ้นจากอีเมอร์ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัว
ความกลัวเทพอาจจะมาจากคุณสมบัติที่ยักษ์ไม่มีนะคะ เช่นว่า ทั้งสามนั่นแข็งแรงเหลือเชื่อ แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็หายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมากและมีเสริมขึ้นเรื่อยๆ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย สงครามระหว่างลูกๆ ของธรุดเกลเมอร์และลูกๆ ของบอร์ เกิดขึ้นเป็นเวลานานนับพันๆ ปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด หรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ
ในที่สุด พวกเทพจึงคิดจะต้องยุติการที่อีเมอร์จะให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป ด้วยการฆ่าอีเมอร์ทิ้งเลือดของยักษ์ตนแรกไหลออกมาจากร่างกายมากมายจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดขนาดใหญ่ ท่วมเข้าไปในห้วงว่างกินนันกาแก็บที่เหลืออยู่จนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนแรก ต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายเกลี้ยง ยกเว้นลูกชายคนหนึ่งคือเบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีไปกับเมียของเขา ไปขึ้นฝั่งทางใต้ และได้ตั้งอาณาจักรของยักษ์เรียกว่า โจตันเฮล์ม-Jotunheim ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดเทพเข้ากระดูกดำมาตั้งแต่เกิด
เกิดแผ่นดินและโลกต่างๆ

พวกเทพคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพลากศพอันมหึมาข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆ จากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ตามทางไปด้วย เช่นว่าเลือดของอีเมอร์กลายเป็นมหาสมุทร กระดูกเป็นภูเขา และฟันซึ่งแตกหักกลายเป็นหน้าผาต่างๆ ผมกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าหัวกะโหลกโค้งมโหฬารเทพก็เอามาทำโค้งสวรรค์ สมองของอีเมอร์กลาย เป็นเมฆซึ่งลอยอยู่ทั่วท้องฟ้า ที่สำคัญที่สุดเนื้อของอีเมอร์กลายเป็นแผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร เรียกกันว่า มิดการ์ด-Midgard แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งอันที่จริงมันก็อยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮม ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และมัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และมันยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทรหรืออีกนัยหนึ่งคือถูกมหาสมุทรล้อมรอบซะอีก ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ด เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพวางไว้เป็นเขตกันกระทบระหว่างแอสการ์ดของตนกับโจตันเฮล์มของยักษ์
เมื่อโลกดูเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยขึ้น เทพทั้งหลายก็เห็นพ้องตรงกันว่าแสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไปมัสเปลส์เฮมเก็บเอาประกายไฟที่กระเด็นมาจากดาบของเซิร์ท ขว้างดวงที่ไม่ดับพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมดและยังเกิดดวงที่สว่างมากที่สุดขึ้นสองดวงก็คือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์นั่นละคะ
เทพเจ้ายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองดวงไปทั่วท้องฟ้า คันที่สร้างขึ้นเพื่อลากดวงอาทิตย์เป็นคันที่มีความปลอดภัยสูงมาก ด้วยเหตุที่มีทั้งน้ำแข็งและโล่สวาลินเอาไว้ด้านหลังม้าและคนขับเพื่อป้องกันความร้อนอันรุนแรงของดวงอาทิตย์ ราชรถคันนี้มีม้าสองตัวลาก ตัวหนึ่งชื่อ อาร์วาคร์ -Arvakr ลากขึ้นแต่เช้า อีกตัวหนึ่งชื่อ อัลสวิน -Alsvin ฝีเท้าเร็ว ส่วนดวงจันทร์ ราชรถที่ลากไม่ต้องมีการสร้างที่ยุ่งยากมากเพราะแสงของดวงจันทร์ไม่แรงเท่าดวงอาทิตย์ทั้งมีขนาดเล็กกว่า จึงมีม้าลากตัวเดียวชื่อ อัลสไวเดอร์ -Alsvider เร็วเสมอ

สร้างคนแคระกับเอลฟ์
ระหว่างที่เทพทั้งสามองค์ช่วยกันสร้างโลกเป็นพัลวันนั่นเองคะ เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์ที่ยังไม่ทันสร้างเป็นอะไรก็เริ่มเน่า และมันได้ผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้นพวกหนึ่งเทพพบว่ามันเป็นแบบเฉพาะที่ทั้งดำและเหม็น ถึงแม้จะขยะแขยงกันขนาดไหน แต่เมื่อมันมีชีวิตขึ้นเองเสียก่อนก็เป็นภาระที่พวกเขาจะต้องช่วยมันต่อไป
เทพสำรวจอุปนิสัยของมันแล้วหาทางเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิตได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแคระ-Dwarf ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม-Svartalfheim ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ด ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและอัญมณีมาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งเดียวที่พวกมันต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินในเวลากลางวัน เพราะแค่แสงแดดอ่อนๆแตะต้องผิวเท่านั้นมันจะกลายเป็นหินทันที
ส่วนสิ่งมีชีวิตอีกพวกหนึ่งที่ดูสุภาพกว่า ไม่มีความโลภโมโทสัน ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นชนิดที่สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกกันว่าพวกเอลฟ์-Elf ได้อาณาเขตอัล์ฟเฮม-Alfheimหรือหมายความถึงดินแดนแห่งพวกเอลฟ์ขาว อยู่ระหว่างกลางแอสการ์ดกับมิดการ์ด พวกนี้มีสิทธิพิเศษกว่าคนแคระเยอะ ตรงที่ถึงแม้ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาจะปลอดภัยดี แต่ก็สามารถเดินทางลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย
กำเนิดมนุษย์
ครั้งหนึ่งเมื่อเทพสามองค์ มีโอดิน โฮเนอร์ (Hoenir) และโลเดอร์ (Lodur) กำลังเดินไปตามชายหาด ได้บังเอิญพบต้นไม้สองต้นที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือแอช-Ash ต้นหนึ่งคือเอล์ม-Elm โอดินหักเอากิ่งที่มีสาขาของต้นไม้ทั้งสองขึ้นมา แล้วถากให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย และตุ๊กตามนุษย์ผู้หญิง โอดินให้วิญญาณ โฮเดอร์ให้ความรู้สึก และโลเดอร์ให้ชีวิตกับสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า นับเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอช มีนามว่า อากสค์ (Askr)หรือ Ask แปลว่าถาม ส่วนผู้หญิงมาจากต้นเอล์มชื่อ เอมบลา (Embla) เทพได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ด
ที่อยู่ของเทพ
เสร็จภารกิจสร้างโลกและจัดระบบเสร็จเรียบร้อย เทวดาก็หันมามองตัวเอง ในเมื่อยังไม่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางพวกเขาสร้างแอสการ์ด(Asgard)ขึ้น ตามชื่อวงศ์อีเซอร์(Aesir) ของตน แล้วตกลงกันว่า ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ สันติภาพจะต้องอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่เทพอีเซอร์ปกครองโลก
ถึงอย่างนั้น พวกอีเซอร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นที่ๆ ค่อยๆ สร้างสรรค์ส่วนต่างๆ ของแอสการ์ดให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แอสการ์ดเชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียกกันว่า ไบฟรอส (Bifrost) สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอที่บรรดาเทพทั้งหลายจะใช้ชักรถศึกออกไปได้
อิกดราซิล (yggdrasill)
ตรงกลางของแดนสวรรค์ มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช-Ash (พวกเดียวกับมะกอก) นับว่าเป็นต้นไม้ที่สำคัญที่สุดเพราะอันที่จริงมันโอบรับโลกทั้งเก้าแห่งไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์โลกมนุษย์ โลกของยักษ์ โลกของคนแคระหรือเอลฟ์ไว้กับกิ่งก้านสาขาและรากของมัน โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคง

ต้นอิกดราซิลมีรากใหญ่สามรากหยั่งลึกลงไป อันหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม แผ่นดินของยักษ์ อันหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮมแผ่นดินน้ำแข็งและอีกอันหนึ่งไปถึงแอสการ์ดแผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามรากนี้ทำให้ต้นอิกดราซิลสัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพ และมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำแต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น โดยรากที่อยู่กับชาวแอสการ์ด ไปโผล่แถวน้ำพุ เอิด น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) มันเป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำและมีหน้าที่ตักน้ำไปให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ พวกนอร์น (the Norns) สามพี่น้อง นามว่า เอิด Urd (อดีต), เวอร์ดานดิ Verdandi (ปัจจุบัน) และสกัลด์ Skuld (อนาคต) จะเรียกรวมกันว่าเป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้อิกดราซิลจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต (tree of destiny)ด้วยเหมือนกัน
รากอันต่อมาแผ่ไปถึงแผ่นดินนิฟล์เฮม แผ่นดินแห่งน้ำแข็งได้น้ำจากน้ำพุ ฮเวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆ ของโลก ส่วนรากที่สาม แผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ได้น้ำจากน้ำพุ ไมเมอร์ (Mimir) น้ำจากน้ำพุแห่งนี้เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักไปดื่มได้ง่ายๆ
อิกดราซิล จะเขียวสดอยู่ตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ไปบ้างก็ตาม เหตุเพราะบนต้นยังมีสัตว์อีกตั้งหลายอย่างที่อาศัยอยู่ เช่นบนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า เจ้าตัวนี้มีหน้าที่จะต้องขันเตือนเทพเจ้าหากศัตรูตลอดกาลของพวกเขาเตรียมยาตราทัพเข้ามาหา นอกจากนี้มีนกอินทรีอีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน
ส่วนสัตว์ที่ไม่ใช่พวกนกก็มีกระรอกชื่อ ราตาโทสค์ (Ratatosk) เป็นอีกตัวที่อยู่บนไม้อิกดราซิล มันไม่เคยหยุดวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างตำแหน่งที่นกอินทรีเกาะอยู่ กับตรงรากของต้นอันที่อยู่บนแผ่นดินน้ำแข็งนิล์ฟเฮม เพราะว่าที่นี่มีพญางูนิดฮอก (Nidhoggr) ขดล้อม มันจะเป็นตัวที่คอยตรวจตราไม่ให้พญางูตัวนั้นกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว . รวมความแล้วอิกดราซิลเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์หลายสถานเชียวละคะ ความมีประโยชน์ของต้นไม้ทำให้แม้กระทั่งโอดิน จอมเทพเองก็เคยแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึงเก้าคืนเพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย แต่เนื่องด้วยตอนนั้นจอมเทพน่าจะได้ดื่มน้ำพุของไมเมอร์แล้ว ทำให้รู้มนต์แห่งการคืนชีพ โอดินก็เลยฟื้นขึ้นมาครองสวรรค์เหมือนเดิม การแขวนคอเช่นนี้ปรากฏว่ามันกลายเป็นประเพณีในชั้นหลัง เนื่องจากมีการพบศพเรียกกันว่ามนุษย์โทลลันถูกแขวนคอตาย ศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์ ความตายของศพพาให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก

 

 

สร้างโดย: 
ลาตีฟะ ฮาเซีย

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 338 คน กำลังออนไลน์