เพศของกลุ่มหญิงรักหญิง !

user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:95e109750adfcd8551bdc5f6232d37a6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n- ชื่อบทความวิจัย กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง\n\n\n- ชื่อผู้วิจัย/คณะผู้วิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ \nดร.พิทักษ์ ศิริวงศ์ \n\n\nผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาการจัดการชุมชน\n\n\nนวภัค ผลกานนท์ และ พิมพาภัทร์ พรหมดวง\n\n\nนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการชุมชน \n\n\n- สถานที่ทำงาน สาขาวิชาการจัดการชุมชน คณะวิทยาการจัดการ ม.ศิลปากร อ.ชะอำ \n\n\nจ.เพชรบุรี \n76120 หมายเลขโทรศัพท์ 089-0747074 \nE-mail <a href=\"mailto:innjun@yahoo.com\">innjun@yahoo.com</a>\n\n\n \n\n\n\n\nบทคัดย่อ\n\n\nการศึกษาเรื่องกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง \n มหาวิทยาลัยศิลปากร \nวิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง \n การปรับตัวของหญิงรักหญิงในสังคม \nและโลกทัศน์ของกลุ่มหญิงรักหญิงที่มีต่อเพศชาย ผู้วิจัยใช้แนวคิดในเรื่องวาทกรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของแฟร์คลาฟ \n นอร์แมน (Fairclough Norman : 1999) ที่วิเคราะห์ในมิติของ ตัวบท มิติของภาคปฏิบัติการทางวาทกรรม และมิติของภาคปฏิบัติการทางสังคม \nผลจากการศึกษาพบว่า \n\n\nในมิติของตัวบท ตัวบทในเรื่องการแต่งกาย ทอมต้องใส่เสื้อตัวใหญ่ \nไม่เน้นสรีระของร่างกาย \nแต่งกายตามสมัยนิยม การเจาะหู \nการไว้ผมสั้น \nตัวบทของความเป็นดี้ มีลักษณะเหมือน ๆ กับผู้หญิงทั่ว ๆ ไป รักสวยรักงาม เลือกที่จะใส่กระโปรงหรือกางเกง ใส่เสื้อแบบไหนก็ได้ \nแต่เมื่อดี้เลือกที่จะเป็นแฟนกับทอมแล้ว ดี้มักไม่แต่งตัวโป๊มากที่จะสร้างความดึงดูดทางเพศต่อเพศชาย \n\n\nมิติของภาคปฏิบัติการทางวาทกรรม \nทอม ไม่นิยมการแต่งกายแบบผู้หญิง ไม่ใส่กระโปรง นอกจากชุดนักศึกษา ใส่เสื้อผ้าที่ไม่เน้นสรีระ \nแต่งกายให้ตนเองให้ดูเท่ห์ตามรสนิยมของแต่ละบุคคล มีการเจาะหู การแสดงท่าเดินที่ห้าวหาน ท่าทางทะมัดทะแมง ไว้ทรงผมสั้น \nดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เพื่อเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับตนเองและเป็นการสร้างความสนิทสนมในกลุ่มเพื่อน \n\n\n\n“ดี้” ซึ่งมีลักษณะทางสรีระเหมือนผู้หญิงทั่วไปทุกประการ \n เน้นการดูแลตัวเองให้สวยอยู่เสมอ \nมีการกินเหล้าสูบบุหรี่อยู่บ้าง เพื่อสังคม \nทอมเรียนรู้ตัวบทจากการสังเกตคนที่เป็นทอมด้วยกัน \nเมื่อตัวบทนั้นได้รับการยอมรับจึงนำตัวบทไปปฏิบัติ การใช้ \nการเผยแพร่ และการนำไปปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดการผลิตซ้ำนั้นเกิดจากการสังเกต การเลียนแบบพฤติกรรมทอมและดี้ \nจนเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเป็นรูปแบบที่แสดงออกถึงความเป็น อัตลักษณ์ของหญิงรักหญิงที่เป็นทอมและดี้ \n\n\nมิติภาคปฏิบัติการทางสังคมที่เกิดขึ้นกับหญิงรักหญิงนั้นยังคงรักษาตัวบท \nและภาคปฏิบัติการทางวาทกรรมและภาคปฏิบัติการทางสังคม \nการปฏิบัติตามกฎของมหาวิทยาลัยในเรื่องของการแต่งกาย แต่ยังมีการการปฏิเสธภาคปฏิบัติการทางสังคมบางประการเพื่อเป็นการแสดงความเป็นตัวตนอีกประการหนึ่ง \nคือ การกินเหล้า สูบบุหรี่ภายในหอพักและการปฏิเสธความรักแบบต่างเพศ\n\n\n\n\nคำนำ\n\n\nในทุกสังคมมีบรรทัดฐาน \nค่านิยม ความเชื่อ \nเป็นกรอบหรือเป็นเครื่องมือให้สมาชิกได้ใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ กรอบดังกล่าวมี \nกฎ เกณฑ์ กติกาของสังคม ที่บุคคลพึงปฏิบัติ การที่บุคคลมีสถานภาพใดสถานภาพหนึ่งทางสังคม \nและบุคคลอื่นสามารถคาดเดา ถึงการกระทำของบุคคลเหล่านั้นได้จากความหมายที่มีร่วมกันของสถานภาพและบทบาทนั้น \nๆ บุคคลจึงรับรู้ว่าเขาถูกคาดหวังให้กระทำตามกรอบหรือแบบแผนของพฤติกรรมดังกล่าว \nความคาดหวังทางบทบาทครอบคลุมชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ รวมไปจนถึงเรื่องทางเพศด้วย \nและในปัจจุบันนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้ให้ความสำคัญกับสิทธิของมนุษย์มากขึ้น เช่น \nมาตรา 4 กล่าวไว้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง \nในส่วนของมาตรา 5 กล่าวว่า ประชาชนชาวไทยไม่ว่าแหล่งกำเนิด \nเพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน และมาตรา 30 กล่าวว่า บุคคลย่อมเสมอกันในทางกฎหมายและได้รับ ความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะสาเหตุ \nแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ \nสถานะ ของบุคคล \nอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ เป็นต้น จากมาตราเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเพศใดก็ตามมีสิทธิ \nศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคและ ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ส่งผลให้กลุ่มรักร่วมเพศ \nเช่น กระเทย เกย์ ทอม ดี้ ในสังคมไทยมีพื้นที่และมีความกล้าในการแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมามากขึ้น\n\n\n กลุ่มหญิงรักหญิงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองข้ามและได้รับการยอมรับจากสังคม \nทั้งนี้อาจเป็นเพราะการไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง สืบเนื่องมาจากอคติที่มีต่อรักร่วมเพศในสังคมประกอบกับภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอในแง่ลบของ นักการแพทย์ นักจิตวิทยาและนักวิชาการของไทย \nซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากกระแสจิตวิทยาโลกตะวันตก ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วก็ตามที \nแต่ก็ปรากฏว่ามีนักจิตวิทยาหลายคนที่ยังขาดข้อมูลที่มีความทันสมัยและความก้าวหน้าในประเด็นหญิงรักหญิง \n จึงให้คำอธิบายกลุ่มหญิงรักหญิงว่าเป็นความผิดปกติทางจิตใจที่จำเป็นต้องรักษา \nความเข้าใจ เช่นนี้ ได้สร้างอคติต่อกลุ่มหญิงรักหญิงในสังคมไทยตลอดมา \nสะท้อนออกมาจากคำที่ใช้เรียกขานกลุ่มหญิงรักหญิงว่า “ความเป็นรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดปกติ \nเป็นสิ่งที่เลวร้าย” การรับรู้ของคนทั่วไปต่อกลุ่มหญิงรักหญิงจึงเป็นไปในลักษณะของปรากฏการณ์ของปัญหาทางสังคม \nซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขมากกว่าการยอมรับการดำรงอยู่ของหญิงรักหญิงในฐานะสมาชิกหรือประชากรกลุ่มหนึ่ง\n\n\n ดังนั้นการศึกษากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงครั้งนี้ \nไม่มีความต้องการตอกย้ำแนวคิดที่มองกลุ่มหญิงรักหญิงเป็นความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจหรือเป็นปัญหาสังคมแต่อย่างใด \nหากแต่เป็นความพยายามมองปรากฏการณ์หญิงรักหญิงผ่านกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของคนกลุ่มนี้\n\n\nกลุ่มหญิงรักหญิงเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย \nๆ \nดังนั้นการศึกษาถึงกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้คนในสังคมมีความเข้าใจในสิ่งที่คนกลุ่มนี้คิดและทำมากยิ่งขึ้น \nโดยมองว่าเรื่องเพศมีหลายมิติรวมทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ พฤติกรรมทางเพศ \nการนำเสนอกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงนั้น \nจึงเป็นมิติที่มีความแตกต่างจาก การนำเสนอทางวิชาการในอดีตที่นำเสนอพฤติกรรมทางเพศที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคม \nการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอข้อมูลที่มีความแตกต่างจากวาทกรรม ความเชื่อในบรรทัดฐานเดิมและแสดงให้เห็นถึงมิติเรื่องเพศในสังคมไทยปัจจุบันที่กำลังพยายามเคลื่อนตัวให้หลุดพ้นจากบรรทัดฐานของสังคมในอดีต\n\n\nสำหรับสังคมไทย \nแม้ว่าจะไม่ได้มีการต่อต้านความเป็นผู้รักร่วมเพศเดียวกันอย่างรุนแรง \nแต่ก็ยังคงมองว่าการรักเพศเดียวกันเป็นความผิดปกติ เป็นความเบี่ยงเบน ดังที่ไซน์นอต \n(Sinnott \n2002 : 77) กล่าวว่า แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นผู้วิปริตผิดปกติหรือเบี่ยงเบนทางเพศ \nและอาจจะต้องเผชิญหน้าปัญหาจากการที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน \nแต่ทำไมบุคคลจึงยังรับเอาอัตลักษณ์ความเป็น \nผู้รักเพศเดียวกันมาเป็นของตนเองและกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างไร ตลอดจนการเลือกที่จะมีวิธีการใช้ชีวิตแบบผู้รักเพศเดียวกัน ซึ่งการศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งตอบคำถามดังกล่าว\n\n\n \n\n\n\n\nวิธีการศึกษา\n\n\n ผู้ศึกษาใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ระดับลึกบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน \n25 คน ประกอบด้วย หญิงรักหญิงที่เป็นทอม ดี้ และ ผู้ชาย \nซึ่งเป็นนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี \nโดยใช้แนวคิดเรื่องการวิเคราะห์วาทกรรมของ นอร์แมน แฟร์คลาฟ แนวคิดเรื่องเพศภาพ \nแนวคิดเรื่อง ความเป็นเพศ แนวคิดเรื่องหญิงรักเพศเดียวกัน \nและแนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ เป็นกรอบในการศึกษา \nหลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ตามแนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ สรุป \nและรายงานผลการศึกษา ผลการศึกษามีดังนี้\n\n\n \n\n\n \n\n\nผลการศึกษา\n\n\nผลการศึกษาแบ่งออกเป็น \n5 ส่วน คือ\n\n\n1. \nการให้ความหมายและการนิยามตนเอง\n\n\n2. \nระบบความสัมพันธ์\n\n\n3. \nกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง\n\n\n4. \nโลกทัศน์ที่มีต่อเพศชาย\n\n\n5. \nการปรับตัวของหญิงรักหญิงในสังคมรักต่างเพศ\n\n\n \n\n\n \n\n\n\n\n1. การให้ความหมายและการนิยามตนเอง\n\n\nความหมายของคำว่า \n“ดี้” มีความหลากหลายแตกต่างกันออกไปของแต่ละคนที่เป็นหญิงรักหญิง \nก่อนการเริ่มศึกษาเรื่องกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง \nผู้ศึกษาเคยมีแนวคิดว่า หากถามว่าคนที่เป็นแฟนของทอมจะเรียกว่าอะไร คนทั่ว ๆ \nไปคงตอบว่า “ดี้” แต่เมื่อได้ทำการศึกษาจึงได้ตระหนักว่าปรากฏการณ์หญิงรักหญิง \nมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่คิด \nหญิงรักหญิงที่เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักที่มีคู่รักเป็นทอม ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ชอบที่จะนิยามตนเองว่า \n“ดี้” ดังนั้น การนิยามตนเองของหญิงที่มีคู่รักเป็นทอมมีความแตกต่างกัน \nดังนี้\n\n\n“ดี้” ในความหมายของผู้หญิงที่มีคู่รักเป็นทอม \nเป็นสิ่งที่สมาชิกของกลุ่มรับรู้ว่ามีคำนี้อยู่ แต่ปฏิเสธที่จะใช้คำดังกล่าว เพราะมีนัยยะแฝงถึงการแบ่งบทบาทตามเพศ \nอุดมการณ์ที่สำคัญสำหรับกลุ่มนี้คือ การรื้อระบบเพศสภาพ (gender system) ใหม่ เพื่อความเท่าเทียมกันของกลุ่มหญิงรักหญิง \nดังนั้นพวกเธอจึงปฏิเสธการแบ่ง “ทอม - ดี้” \nเพราะถือว่าเป็นการรับเอาแบบแผนความสัมพันธ์แบบชายเป็นใหญ่มาใช้ในกลุ่มหญิงรักเพศเดียวกัน\n\n\n ความหลากหลายของความหมายของ “ดี้” \nมาจาก\n\n\n1. \n“ดี้” เป็นคำที่ค่อนข้างสมัยใหม่สำหรับสังคมไทย \nความหมายจึงไม่ชัดเจน ทำให้ คนส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจร่วมกันหรือให้ความหมายร่วมกันว่า \n“ดี้” คืออะไร\n\n\n2. \n“ทอม” และ “ดี้” เป็นคำที่ปรากฏในกลุ่มย่อยบางกลุ่มที่ใช้นิยามกลุ่มหญิงรักเพศเดียวกันเช่น \nกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น\n\n\n3. \n“ดี้” เป็นคำที่ไม่อยู่ในระบบสัญลักษณ์ (ภาษา) ของหญิงรักหญิง ซึ่งบางคนหรือบางกลุ่มไม่รู้จัก \nไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ดี้”\n\n\n4. \nโดยภาพรวมแล้ว กลุ่มหญิงรักหญิงที่เป็นดี้ ไม่มีการจัดระเบียบ \n(organized) \nมากพอที่จะเป็นกลุ่มทางสังคม (social group) จึงไม่มีตัวบทในการนิยามความเป็นดี้ที่แน่นนอน \nเนื่องจาก ตัวบทของดี้และผู้หญิงรักต่างเพศทั่วไปเป็นตัวบทเดียวกัน \n\n\n\n“ทอม” มีความหมายที่ชัดเจน ไม่มีความหลากหลายเหมือนกับดี้ \nทอมมีอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของตนเองสูง คำว่า “ทอม” มีนัยยะแฝงถึงการแบ่งบทบาททางเพศของเพศชาย กล่าวคือผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายผู้ชายในเรื่องของการแต่งกาย \nการแสดงออก การกระทำ รวมถึงบุคลิกลักษณะที่มีความห้าว เข้มแข็ง มีความเป็นผู้นำ \nทอมมีกระบวนการพัฒนาอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของตน ส่วนใหญ่มีการยอมรับในการนิยามตนเองว่าเป็นทอมและการให้ความหมายของความเป็นทอมร่วมกันของสมาชิก \nทอมจึงเป็นคำที่ปรากฏในกลุ่มย่อยบางกลุ่มที่ใช้ในการนิยามกลุ่มหญิงรักหญิงและเป็นคำที่ใช้กันในกลุ่มนักเรียน \nนักศึกษาและมีอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนที่ค่อนข้างชัดเจน\n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n2. ระบบความสัมพันธ์\n\n\nผลจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ความเป็นเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงที่เป็นทอมและดี้ \nว่าเกิดจากมิติของตัวบท ภาคปฏิบัติการทางวาทกรรมและภาคปฏิบัติการทางสังคม ในประเด็นเรื่องการนิยามตนเอง \nความสัมพันธ์ระหว่างเพศ การเรียนและการปรับตัวทางสังคม \n\n\n\nความสัมพันธ์ระหว่างเพศที่สร้างขึ้นในแบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างเพศทั้งในฐานะ \nเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง คนรักและครอบครัว จากปรากฏการณ์ที่ศึกษากลุ่มหญิงรักหญิงมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง \nรวมทั้งเพื่อนในชั้นปีเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากการที่กลุ่มหญิง รักหญิงที่ศึกษา ส่วนหนึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรมต่าง \nๆ ภายในมหาวิทยาลัย จึงมีโอกาสในการสร้างความคุ้นเคย สนิทสนมและการมีสัมพันธภาพที่ดีทั้งต่อรุ่นพี่และรุ่นน้อง \nเพื่อนในกลุ่มทั้งที่เป็นและไม่เป็นหญิงรักหญิง มีอิทธิพลในทุก ๆ เรื่อง เช่น \nการแต่งกาย การเข้าเรียน การจีบ การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เป็นต้น \nประกอบกับการที่ต้องไปเรียนและทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ\n\n\n \n\n\nความสัมพันธ์ในฐานนะคนรักระหว่างทอมและดี้\n\n\nทอมมักแสดงตนเองให้ดูดี \nเป็นที่น่าสนใจและสามารถเอาอกเอาใจดี้ได้ เพราะเชื่อว่าทอมสามารถเข้าใจดี้ได้มากกว่าผู้ชาย \nเนื่องจากเป็นผู้หญิงด้วยกัน ประกอบกับการอยู่หอพัก ทำให้ทอมมีโอกาสในการจีบดี้ได้หลายรูปแบบ \nความสัมพันธ์ระหว่างทอมและดี้ จึงเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของการพึ่งพาอาศัย \nการเข้าใจ การช่วยเหลือ \nทั้งในเรื่องการเรียนและการร่วมกันปฏิเสธที่จะคบผู้ชายในระบบชายเป็นใหญ่\n\n\nความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่เป็นเพศชาย \nถึงแม้ว่าทอมและดี้จะปฏิเสธการมีความสัมพันธ์แบบคนรักเป็นผู้ชายในประเด็นนี้ \nทอมและดี้ให้ความหมายของระบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ \nถึงแม้ทอมจะปฏิเสธที่จะมีคนรักเป็นผู้ชาย ก็กลับมีบุคลิกลักษณะที่คล้ายผู้ชาย สำหรับเพื่อนร่วมรุ่นกลับมีความสนิทสนม \nบางครั้งที่มีการไปเที่ยวสังสรรค์ร่วมกัน การตั้งวงสนทนา การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ \nแต่ในทางกลับกัน ดี้ไม่ต้องการที่จะสุงสิงกับผู้ชาย ประกอบกับทอมซึ่งเป็นคู่รักของตนก็ไม่ต้องการที่จะให้ดี้สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนผู้ชายมากนัก \nเป็นต้น\n\n\nความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่เป็นผู้หญิง \nทอมคิดว่าตนเองสามารถที่จะมีความสนิทสนมกับเพื่อนหญิงที่เป็นดี้ที่ไม่ใช่คู่รักของตนเองได้ \nซึ่งดี้บางคนไม่คิดแบบนั้น เนื่องจากกลัวว่าทอมจะไปชอบผู้หญิงคนอื่นแทนตนเอง \nส่วนดี้สามารถคบเพื่อนที่เป็นผู้หญิงได้ \nแต่ทอมส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมให้ดี้สุงสิงกับทอมที่ไม่ใช่คู่รักของตนเอง ยกเว้นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน \nเนื่องจากกลัวว่าทอมคนอื่นจะมาจีบแฟนของตน\n\n\nสำหรับโลกทัศน์ของผู้ชายที่มีต่อทอมและดี้นั้น \nสามารถสรุปได้ 2 \nประการ ดังนี้\n\n\n1. \nผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิงที่เป็นทอม เนื่องจากอัตลักษณ์ \nและบุคลิกลักาณะของทอมบางคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะของเพศชาย ในบางครั้งดูเหมือนว่าจะเกินความพอดีจนดูน่าเกลียด \nอีกทั้งยังรู้สึกว่าทอมได้แย่งผู้หญิงของตนไป \nถ้าหากผู้ชายสามารถเอาชนะใจดี้ที่เป็นแฟนของทอมให้กลายมาเป็นแฟนของตัวเองได้จะทำให้ผู้ชายรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและรู้สึกเป็นผู้ชนะ \n\n\n2. \nผู้ชายที่รู้สึกเฉย ๆ \nเพราะคิดว่าท้ายที่สุดแล้วหญิงรักหญิงก็จะกลับมารักผู้ชายอยู่ดี \nเพื่อสร้างครอบครัวตามบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป\n\n\n \n\n\nความสัมพันธ์ในครอบครัว\n\n\nในการเปิดเผยตัวต่อบุคคลใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นพ่อ \nแม่ พี่ น้อง การที่ทอมและดี้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เนื่องจากต้องการให้คนใกล้ตัวได้รับทราบถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับวิถีดำเนินชีวิตของพวกเธอ \nกลุ่มหญิงรักหญิงหลายคนบอกว่า ที่ต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพราะอยากให้คนที่เธอรักยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอและ เป็นกำลังใจให้เธอสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากบรรทัดฐานทางสังคม \nโดยที่กลุ่มหญิงรักหญิงไม่สนใจที่คนภายนอกจะยอมรับความเป็นตัวตนแบบหญิงรักหญิงของตนหรือไม่ \nแต่ถ้าครอบครัวและเพื่อนสนิทสามารถยอมรับได้ พวกเขาจะไม่สนใจความรู้สึกและความคิดเห็นของบุคคลภายนอก \nอย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตนเองต่อคนใกล้ชิดเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะต้องผ่านการตัดสินใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับผลที่ตามมาภายหลังและหากคนใกล้ชิดยอมรับความเป็นตัวตนของตนเองได้คงไม่มีปัญหาอะไร \nแต่หากว่าคนใกล้ชิดต่อต้านจะส่งผลกระทบต่อการสร้าง อัตลักษณ์ความเป็นหญิงรักหญิงของเธอ\n\n\nการปรับตัวทางสังคม \nกลุ่มหญิงรักหญิงทั้งที่เป็นทอมและดี้ มีการปรับตัวทางสังคม ในการดำรงอยู่ไว้ซึ่งความเป็นอัตลักษณ์ของตน \nการตั้งใจเรียนหนังสือของดี้สามารถช่วยให้ทอมมีความข้าใจในเรื่องเรียนได้ดีขึ้น \nการเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ทอมและดี้บางคนชอบ การแสดงออกถึงความสามารถของตน \nแต่ในทางกลับกันทอมและดี้บางคนก็ไม่ต้องการเปิดเผยตนสู่สังคมแต่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นทอมและดี้ของตนไว้\n\n\n \n\n\n3. กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศ\n\n\nจากการศึกษาในครั้งนี้พบว่ากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงมีความสำคัญในการมีกระบวนการสร้าง \nดังต่อไปนี้\n\n\nมิติของตัวบท\n\n\nกลุ่มหญิงรักหญิงได้ตีความตัวบทในการนิยามตนเอง \nคุณลักษณะของจิตใจ คุณลักษณะของสรีระ คุณลักษณะความเป็นทอมและดี้ และลักษณะของการแต่งกาย \nในกรณีที่ตนต้องการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของความเป็นทอมและดี้ \nควรมีแนวทางในการปฏิบัติตามตัวบทอย่างไร ในลักษณะของความเป็นทอม \nมิติของตัวบทมีความชัดเจนมากกว่าตัวบทของดี้ เช่น ตัวบทในเรื่องการแต่งกายนั้น \nทอมชอบใส่เสื้อตัวใหญ่ ไม่เน้นความเด่นชัดของสรีระร่างกาย มีการแต่งกายตามสมัยนิยม ต้องเจาะหู \nไว้ผมสั้น เป็นต้น แต่สำหรับตัวบทของความเป็นดี้นั้น มีลักษณะเหมือน ๆ \nกับผู้หญิงรักต่างเพศทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ดี้มักเน้นความเป็นผู้หญิงสูง \nเป็นคนรักสวยรักงาม ดี้เลือกที่จะใส่กระโปรงหรือกางเกงก็ได้ ใส่เสื้อแบบไหนก็ได้ \nแต่เมื่อดี้เลือกที่จะเป็นแฟนกับทอมแล้ว ในมิติของตัวบท ในการแต่งกาย ดี้มักไม่แต่งตัวโป๊มากที่จะสร้างความดึงดูดทางเพศต่อเพศชาย \n\n\nมิติของภาคปฏิบัติการทางวาทกรรม\n\n\nคุณสมบัติของความเป็นหญิงรักหญิง \nซึ่งประกอบไปด้วยคุณลักษณะของสรีระ คุณลักษณะของจิตใจ \nคุณลักษณะในการแสดงออกถึงความเป็นทอมและดี้ และลักษณะของการแต่งกาย ในการสร้างความเป็นหญิงรักหญิงของตนที่เรียกว่า \nทอมและดี้ โดยการสร้างความเป็นเพศของ ทอมนั้น คือ การสร้างความโดดเด่นในตัวเอง ไม่นิยมการแต่งกายสวยงามแบบผู้หญิง \nไม่ใส่กระโปรง ต้องนุ่งกางเกง \nธรรมเนียมของทอมในสถาบันนี้คือการปฏิบัติตามระเบียบของสถาบันโดยการแต่งเครื่องแบบนักศึกษา \n นุ่งกระโปรงหลวมหลวม ใส่เสื้อผ้าที่ไม่เน้นสรีระของตนเอง \nให้คุณค่าของคำว่า ดูดี ซึ่งได้ให้ความหมายว่า การเป็นทอมนั้นต้องมีการแต่งกายตนเองให้ดูเท่ห์ตามรสนิยมของแต่ละบุคคล \n มีการเจาะหู การแสดงท่าเดินที่ห้าวหาน \nการไว้ทรงผมสั้นและการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เพื่อเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับตนเองและเป็นการสร้างความสนิทสนมในกลุ่มเพื่อน \nในกรณีของคุณลักษณะความเป็นเพศของ “ดี้” ซึ่งมีลักษณะทางสรีระเหมือนผู้หญิงทั่วไปทุกประการ \nทั้งบุคลิกลักษณะ การแสดงออก การแต่งกาย ดี้มักเน้นการดูแลตัวเองให้สวยอยู่เสมอ \nมีการกินเหล้าสูบบุหรี่อยู่บ้าง เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดี \nทอมเรียนรู้ตัวบทจากการสังเกตคนที่เป็นทอมด้วยกัน เมื่อตัวบทนั้นได้รับการยอมรับจึงนำตัวบทไปปฏิบัติ \nจากการศึกษาปรากฏการณ์ครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่า การใช้ การเผยแพร่ \nและการนำไปปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดการผลิตซ้ำนั้นเกิดจากการสังเกต การเลียนแบบพฤติกรรมทอมและดี้คนอื่น ๆ \nที่เป็นรุ่นพี่ เพื่อนและรุ่นน้อง \nจนเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเป็นรูปแบบที่แสดงออกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของหญิงรักหญิงที่เป็นทอมและดี้ \n\n\n\nมิติภาคปฏิบัติการทางสังคม\n\n\nมิติภาคปฏิบัติการทางวาทกรรมที่เกิดขึ้นกับหญิงรักหญิงนั้นยังคงรักษาตัวบท \nและภาคปฏิบัติการทางวาทกรรมและภาคปฏิบัติการทางสังคม \nการปฏิบัติตามกฎของมหาวิทยาลัยในเรื่องของการแต่งกาย แต่ยังมีการการปฏิเสธภาคปฏิบัติการทางสังคมบางประการเพื่อเป็นการแสดงความเป็นตัวตนอีกประการหนึ่ง \nคือ การกินเหล้า สูบบุหรี่ภายในหอพักและการปฏิเสธความรักกับต่างเพศ\n\n\nอัตลักษณ์\n\n\nการทำตัวเองให้ดูดี \nสะอาด เท่ห์และสวยของทอมและดี้ ความเป็นตัวของตัวเอง การกินเหล้า สูบบุหรี่ \nโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงรักหญิงที่เป็นทอม ไม้ง้อผู้ชายและปฏิเสธระบบชายเป็นใหญ่ \nให้ความสำคัญกับการแต่งตัวที่ดูดี\n\n\nระบบความรู้ความเชื่อในความเป็นหญิงรักหญิง\n\n\nการดำเนินชีวิตของหญิงรักหญิงของนักศึกษาแบบหอพักภายในวิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี \nเชื่อว่าการได้แสดงความรัก ความเป็นห่วง การได้ดูแลคนที่รักอย่างใกล้ชิด ทำให้ทอมและดี้มีความสุข \nและไม่รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนกับรักต่างเพศ ทอมและดี้เชื่อว่าผู้หญิง สามารถเข้าใจผู้หญิงด้วยกันได้อย่างดีที่สุด \n ถึงแม้ว่าทอมรู้ว่าความเป็นอัตลักษณ์ของดี้ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนและไม่มั่นคงเหมือนกับตนก็ตาม \nการแต่งตัวให้ดูดี ทันสมัยเป็นคุณลักษณะของความเป็นทอม ส่วนดี้เป็นผู้หญิงที่มีคุณลักษณะเหมือนผู้หญิงรักต่างเพศทั่วไปทุกประการ \nแต่ดี้เลือกที่จะมีคู่รักที่เป็นทอมและเชื่อว่าการคบกันระหว่างทอมกับดี้เป็นเรื่องปกติ \nแม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่สังคมไม่ค่อยยอมรับก็ตาม\n\n\n \n\n\n4. โลกทัศน์ที่มีต่อเพศชาย\n\n\nจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า \nหญิงรักหญิงที่เป็นทอมและดี้ต่างมีโลกทัศน์ในด้านลบกับเพศชายเนื่องจากตัวอย่างที่ไม่ดีจากครอบครัวทั้งในฐานะ \nพ่อ พี่ชาย หรือทอมและดี้บางคนเคยคบแฟนที่เป็นผู้ชายมาก่อน \nแต่ทำให้ทอมและดี้เหล่านั้นรู้สึกว่าผู้ชายเป็นเพศที่เอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไป \nไม่มีความอ่อนโยน ไม่เข้าใจผู้หญิง \nผู้ชายมักคิดแต่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าการคบกันด้วยความรัก \nอีกทั้งผู้ชายในปัจจุบันยังไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่สามารถดูแลผู้หญิงได้และการเลือกคบกับผู้หญิงที่ละหลาย \nๆ คน สุดท้ายแล้วผู้ชายก็เป็นฝ่ายที่เอาเปรียบผู้หญิงในทุก ๆ ด้าน \nระบบความรู้ความเชื่อที่มีต่อเพศชายนั้นเกิดมาจากการเรียนรู้เพศภาพในอดีต การรู้จักเพื่อนผู้ชายจากชั้นเรียนและเรียนรู้ว่าเพื่อนผู้ชายเหล่านั้นขาดภาวะความเป็นผู้นำ \nไร้ความรับผิดชอบและชอบมีบทสนทนาเกี่ยวกับสรีระทางเพศของผู้หญิง \nส่งผลให้กลุ่มหญิงรักหญิงมีโลกทัศน์ที่ไม่ดีต่อเพศชายและเลือกที่จะมีคู่รักที่เป็นผู้หญิงด้วยกันระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย\n\n\n \n\n\n5. การปรับตัวในสังคมรักต่างเพศ\n\n\nแม้ว่าสังคมไทยจะไม่มีการต่อต้านหญิงรักหญิงกันอย่างรุนแรง \nแต่ก็ยังถือว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนในสังคมไทย ในกรณีของทอมและดี้ \nแม้ว่าลักษณะของพวกเธอโดยเฉพาะดี้ \nซึ่งไม่มีความแตกต่างไปจากผู้หญิงแบบรักต่างเพศทั่วไปมากนัก \nแต่การมีคู่รักเป็นทอมทำให้สังคมภายนอกรับรู้ได้ถึงการเป็นหญิงรักหญิงของพวกเธอเหล่านั้น\n\n\nจากการบอกเล่าของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก \nโลกทัศน์ที่มีต่อสังคมในการดำเนินชีวิตของตนเอง \nผู้ให้ข้อมูลหลักให้ความเห็นว่าปัญหาที่กลุ่มหญิงรักหญิงที่ต้องเผชิญก็คือ การไม่ได้รับ การยอมรับจากสังคมหรือถูกมองว่าเป็นผู้เบี่ยงเบนและความรู้สึกที่ไม่ยอมรับของสังคมส่วนนี้ ได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตของตนเองในหลาย ๆ ด้าน \nนอกจากนี้ “ดี้” ยังรู้สึกว่าการที่เธอเป็นดี้ ทำให้ เธอถูกตั้งคำถามมากกว่าทอม \nเนื่องจากสังคมมองเธอว่าสามารถที่จะเลือกคบผู้ชายได้ แต่ทำไมเธอกลับเลือกคู่รักที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีบุคลิกลักษณะที่เป็นทอม \n\n\n\n \n\n\nการแก้ปัญหาของหญิงรักหญิงนั้นจากผลการศึกษา \nพบว่ามี 2 วิธี คือ\n\n\n1. \nการปกปิดความเป็นหญิงรักหญิง\n\n\nทอมและดี้หลายคนเลือกที่จะปกปิดการเป็นหญิงรักหญิงของตนเองจากสังคมรักต่างเพศที่อยู่ภายนอกมหาวิทยาลัย \nเนื่องจากการเปิดเผยอัตลักษณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เช่น ในเรื่องการทำงานในอนาคต \nการฝึกงานช่วงปิดเทอมหรือการปกปิดความเป็นหญิงรักหญิงจากครอบครัวของตนเอง \nการปกปิดสำหรับดี้ ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากลักษณะภายนอกของดี้ ไม่แตกต่างจากหญิงรักต่างเพศทั่วไป \nดี้จึงปฏิบัติตัวตามปกติไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพียงแต่จะไม่กระทำหรือแสดงพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นผู้รักเพศเดียวกัน \n การปกปิดดังกล่าวจะสำเร็จ \nแต่ถ้าหากดี้ต้องอยู่กับทอม การปกปิดดังกล่าวอาจไม่สมบูรณ์ เพราะบุคลิกลักษณะของผู้หญิงที่เป็นทอมมีความโดดเด่นและแตกต่างจากหญิงรักต่างเพศทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด \nการแก้ปัญหาของดี้ในกรณีนี้ คือการไม่อยู่กับทอมเพียง 2 คนในที่สาธารณะ ที่คนอื่นสามารถสังเกตได้ง่าย โดยเฉพาะสถานที่ฝึกงานหรือที่ที่ต้องการให้สังคมยอมรับ ในตัวของดี้\n\n\n2. \nการเปิดเผยตัวตน\n\n\nสิ่งที่เอื้อต่อการเปิดเผยตัวของหญิงรักหญิงประการหนึ่งก็คือ \nการที่มีคู่รักเป็นทอม ซึ่งมีบุคลิกลักษณะภายนอกที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความแตกต่างหรือตรงข้ามจากผู้หญิงโดยทั่ว \nๆ ไป ทำให้สังคมภายนอกสังเกตเห็นได้ง่าย ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเดินมากับทอม ไม่ว่าเขาจะเป็นคู่รักของทอมคนนั้นหรือไม่ \nภาพที่ปรากฏทำให้คนภายนอกสังเกตเห็นได้คือ ผู้หญิงคนนั้นเป็นดี้ที่มีคู่รักเป็นทอมหรือเป็นหญิงรักหญิง \nดังนั้นการปกปิดระหว่างทอมกับดี้อาจเป็นไปได้ยาก ดังนั้นทอมและดี้ตัดสินใจในการเลือกที่จะเปิดเผยตัวตน \nแสดงให้เห็นว่าทอมและดี้คู่นั้นมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน \nและมักเลือกที่จะเปิดเผยจากคนใกล้ตัวก่อน เช่น เพื่อนสนิท \nแล้วจึงตัดสินใจว่าจะเปิดเผยตัวตนต่อสังคมในระดับกว้างต่อไป แต่ผลจากการเปิดเผยตัวตนต่อคนใกล้ตัว \nอาจมีอิทธิพลต่อการปกปิดหรือเปิดเผยตัวตนในอนาคตต่อคนกลุ่มอื่นต่อไป การศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลหลัก \nปรากฏว่า มีการเปิดเผยตัวตนและอัตลักษณ์ของตน \nเนื่องจากการอยู่หอพักและการมีเพื่อนในมหาวิทยาลัย \nเป็นพื้นที่และกลุ่มสังคมที่กลุ่มหญิงรักหญิงผู้ให้ข้อมูลหลักตัดสินใจที่จะเปิดเผยตนเอง\n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\nสรุปผลการวิจัย\n\n\nกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง \nเป็นการศึกษาถึงกระบวนการ ในการสร้างความเป็นอัตลักษณ์แห่งตน \nผ่านวาทกรรมที่เป็นระบบความหมาย ความสัมพันธ์ ระบบความรู้ ความเชื่อ \nการศึกษาเรื่องกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง ทำให้ มีความเข้าใจในทุกเรื่องของความเป็นเพศในกลุ่มหญิงรักหญิง \n(ทอม - ดี้) \nเนื่องจากเรื่องเพศเป็นเรื่องที่สำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุก \nๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มชายขอบทางเพศ การสร้างความเข้าใจในคนกลุ่มนี้จะช่วยลดปัญหาทางสังคมบางประการ \nซึ่งหญิงรักหญิงได้เรียนรู้ในกฎเกณฑ์กติกาในความเป็นทอมและดี้ ผ่านมิติของวาทกรรม นับตั้งแต่ \nการตีความตัวบท การสร้าง การผลิตซ้ำและการนำตัวบทไปใช้ ตลอดจนการกระทำที่เรียกว่า การสร้างแบบแผนของพิมพ์เขียว\n\n\nผลจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ความเป็นเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงที่เป็นทอมและดี้ \nว่าเกิดจากมิติของตัวบท ภาคปฏิบัติการทางวาทกรรมและภาคปฏิบัติการทางสังคม ในประเด็นเรื่องการนิยามตนเอง \nความสัมพันธ์ระหว่างเพศ และการปรับตัวทางสังคม \nส่งผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ดังนี้\n\n\n1. \n “ดี้” \nสำหรับหญิงรักหญิงในการศึกษาปรากฏการณ์ครั้งนี้ หมายถึง \nผู้หญิงที่มีคู่รักเป็นทอมและไม่ใช่ทุกคนที่นิยามตนเองว่าเป็นดี้ \nจึงขาดความเห็นพ้องหรือขาดภาพลักษณ์ร่วมกันต่อความเป็นดี้ \nทำให้ดี้ไม่สามารถจัดให้เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมได้ (social identity) เนื่องจาก การที่อัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งจะเป็นอัตลักษณ์ทางสังคมได้ \nจะต้องมีความหมายใช้ร่วมกัน หรือ \nความเข้าใจที่เห็นพ้องต้องกันต่ออัตลักษณ์นั้น ๆ ดังนั้นการศึกษาถึงกระบวนการสร้าง อัตลักษณ์ทางเพศของดี้จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก\n\n\n 2. คำว่า “ดี้” ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะนิยามตนเองด้วยคำอื่น \nๆ ที่สังคมมองว่าเบี่ยงเบน แต่ดี้ยังคงมีการดำรงอยู่จากการรับรู้ร่วมกันของกลุ่มหญิงรักหญิงในฐานะเป็นแฟนของทอม\n\n\n 3. ทอม \nเป็นนิยามที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ โดยสะท้อนออกมาในลักษณะทางสรีระ \nการแสดงบทบาทความเป็นทอม ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ การแต่งกายและรูปแบบการปรับตัวในสังคม รักต่างเพศ \nอัตลักษณ์ที่สร้างความเป็นทอมเหล่านี้มาจากการเรียนรู้ตัวบทที่เกิดการผลิตซ้ำ\n\n\n 4. กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของหญิงรักหญิง \nโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า ภาคปฏิบัติการทางวาทกรรม ได้แก่ การผลิต การใช้ การเผยแพร่ \nซึ่งได้มาจากการสังเกตตัวบทของหญิงรักหญิงด้วยกัน ทำให้เกิดการผลิตซ้ำ \nตัวบทความเป็นหญิงรักหญิงได้รับการยอมรับ \nจึงเกิดการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ของกลุ่มคนดังกล่าว\n\n\n 5. การปรับตัวของหญิงรักหญิงต่อสังคมรักต่างเพศ \nโลกทัศน์ที่มีต่อสังคมในการดำเนินชีวิตของตนเอง ปัญหาที่กลุ่มหญิงรักหญิงที่ต้องเผชิญก็คือ \nการไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมหรือถูกมองว่าเป็นผู้เบี่ยงเบนและความรู้สึกที่ไม่ยอมรับของสังคมส่วนนี้ ได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตของตนเองในหลาย ๆ ด้าน \nนอกจากนี้ “ดี้” ยังรู้สึกว่าการที่เธอเป็นดี้ \nทำให้ ถูกตั้งคำถามมากกว่าทอม \nเนื่องจากสังคมมองเธอว่าสามารถที่จะเลือกคบผู้ชายได้ แต่ทำไมเธอกลับเลือกคู่รักที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีบุคลิกลักษณะที่เป็นทอม \nและเลือกที่จะปัญหาสองประการ คือ การปกปิดตนเอง และ การเปิดเผยตนเอง\n\n\n \n\n\nข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย\n\n\n1.ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป \n\n\n\nควรมีการศึกษาในเรื่องกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิงในกลุ่ม\n\n\nต่าง \nๆ เช่น \nนักเรียนมัธยม กลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน กลุ่มนักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ \nกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา \nเพื่อสร้างองค์ความรู้ในเรื่องความเป็นเพศ และเพศสภาพ และอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง \nเพื่อเป็นแนวทางให้สังคมยอมรับในศักดิ์ศรี และความเป็นมนุษย์ของกลุ่มหญิงรักหญิง\n\n\n2 \nข้อเสนอแนะต่อสถาบันการศึกษา \n\n\n สถาบันการศึกษาควรทำความเข้าใจ \nและเปิดโอกาสรวมทั้งสนับสนุนการเปิดพื้นที่สำหรับกลุ่มหญิงรักหญิง \nส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ ให้ความสำคัญในศักดิ์ศรี และความเป็นตัวตนของ \nกลุ่มหญิงรักหญิง\n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\nเอกสารอ้างอิง\n\n\nปริตตา เฉลิมเผ่ากออนันตกูล. บรรณาธิการ. (2545) ชีวิตชายขอบ \n: \nตัวตนกับความหมาย. \n\n\nกรุงเทพฯ : \nอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.\n\n\nFairclough \nNorman. (1999) Discourse and Social \nChange. Oxford: \nPolity Press.\n\n\nSinnott Megan J. (2002) \n Toms and Dees Transgender \nidentity and female same-sex \n\n\nrelationships in Thailand. University \nof Wisconsin Madison : 77\n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n', created = 1719382913, expire = 1719469313, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:95e109750adfcd8551bdc5f6232d37a6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:d013dadcd95a7cf45e7b588beca44066' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n- ชื่อบทความวิจัย กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง\n\n\n- ชื่อผู้วิจัย/คณะผู้วิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ \nดร.พิทักษ์ ศิริวงศ์ \n\n\nผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาการจัดการชุมชน\n\n\nนวภัค ผลกานนท์ และ พิมพาภัทร์ พรหมดวง\n\n\nนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการชุมชน \n\n\n- สถานที่ทำงาน สาขาวิชาการจัดการชุมชน คณะวิทยาการจัดการ ม.ศิลปากร อ.ชะอำ \n\n\nจ.เพชรบุรี \n76120 หมายเลขโทรศัพท์ 089-0747074 \nE-mail <a href=\"mailto:innjun@yahoo.com\">innjun@yahoo.com</a>\n\n\n \n\n\n', created = 1719382913, expire = 1719469313, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:d013dadcd95a7cf45e7b588beca44066' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

เมื่อ อังคาร, 15/02/2011 - 21:11 | แก้ไขล่าสุด พุธ, 16/02/2011 - 19:26| โดย

pnp34378

- ชื่อบทความวิจัย กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง

- ชื่อผู้วิจัย/คณะผู้วิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.พิทักษ์ ศิริวงศ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาการจัดการชุมชน

นวภัค ผลกานนท์ และ พิมพาภัทร์ พรหมดวง

นักศึกษา สาขาวิชาการจัดการชุมชน

- สถานที่ทำงาน สาขาวิชาการจัดการชุมชน คณะวิทยาการจัดการ ม.ศิลปากร อ.ชะอำ

จ.เพชรบุรี
76120 หมายเลขโทรศัพท์ 089-0747074
E-mail innjun@yahoo.com

pnp34378's blog |

ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น |

อ่าน 7164 ครั้ง

Thaigoodview

ของขวัญ ของที่ระลึก Miori Jung Handmade

ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ
ไม่ถูกปิดเสียก่อน
ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558
มีผลบังคับใช้แล้ว
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

โรงเรียนเครือข่ายจัดกิจกรรม บล็อก(Blog) เครื่องมือสำหรับครูยุคใหม่ เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้

เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งาน/เพิ่มพื้นที่เก็บภาพ

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 515 คน กำลังออนไลน์

Copyright © 2000-2024 thaigoodview.com | ออกแบบและพัฒนาระบบโดย ไทยกู๊ดวิวดอทคอม
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-Noncommercial-Share Alike 3.0 Unported License.
ท่านสามารถนำเนื้อหาไปใช้ แสดง ดัดแปลง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้า และต้องใช้สัญญาอนุญาตชนิดเดียวกันนี้ไปกับงานดัดแปลงต่อยอดที่เผยเผยแพร่ต่อ

เพศของกลุ่มหญิงรักหญิง !

นำทาง

สมาชิกที่ออนไลน์