![รูปภาพของ pnp34378 รูปภาพของ pnp34378](http://202.44.68.33/files/profilepic/picture-28821.jpg)
อย่างไรถึงเรียกว่า “ประมาท” คำว่า “ประมาท” มีใช้ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา โดยในคดีอาญา ป.อ.มาตรา 59วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้แจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา” แสดงให้เห็นว่าในคดีอาญาแม้ผู้กระทำไม่ได้มีเจตนาก็อาจต้องรับผิดได้หากกระทำโดยประมาทและกฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าหากกระทำโดยประมาทก็ต้องรับผิด เช่นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ,ความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท ส่วนในคดีแพ่งเรื่องละเมิดนั้น ในบททั่วไปคือ ป.พ.พ. มาตรา 420 ได้วางหลักไว้เช่นเดียวกับ ป.อ.คือแม้กระทำโดยไม่ได้จงใจ แต่ว่ากระทำโดยประมาท ก็อาจต้องรับผิดในผลของการละเมิดได้ หลักดังกล่าวนี้ใช้ได้กับกรณีที่แพทย์ทำการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยคือแม้แพทย์มีเจตนาดีไม่ได้จงใจกระทำให้ผู้ป่วยเสียหาย แต่หากได้กระทำไปด้วยความประมาทเลินเล่อแพทย์ก็อาจต้องรับผิด จึงเกิดคำถามว่าแล้วศาลใช้หลักเกณฑ์ใดมาตัดสินว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อตอบคำถามดังกล่าวดังต่อไปนี้ หลักเกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ดังได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าการกระทำโดยประมาทมีใช้ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาโดยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้บัญญัติความหมายของคำว่า “ประมาท”ไว้ ดังนั้นจึงต้องถือเอาความหมายตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งได้อธิบายความหมายไว้ตาม มาตรา 59วรรค4 ดังนี้ “การกระทำโดยประมาท ได้แก่การกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนาแต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่” ซึ่งขอจำแนกดังนี้ 1) ต้องไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา( ถ้าเป็นคดีแพ่งจะใช้คำว่า ไม่ได้จงใจ) 2) ต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคล ในภาวะเช่นนั้นต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จะเห็นได้ว่าในข้อนี้มีปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา 4 ข้อคือ 2.1 บุคคล หมายความว่า ความระมัดระวังของบุคคลที่แตกต่างกันย่อมมีไม่เท่ากัน เช่นจะเอาความระมัดระวังของเด็กไปเปรียบเทียบกับความระมัดระวังของผู้ใหญ่ไม่ได้ หรือ ศัลยแพทย์ก็ควรต้องมีความระมัดระวังในการผ่าตัดมากกว่าแพทย์ทั่วไป สรุปก็คือว่าการที่จะวัดความระมัดระวังของผู้กระทำจะต้องคำนึงถึง เพศ อายุ อาชีพ ฐานะ ให้เป็นอย่างเดียวกับผู้กระทำด้วย 2.2 ในภาวะเช่นนั้น หมายถึง ขณะทำการนั้น เช่นขณะขับรถควรมีความระมัดระวังเพียงใด 2.3 วิสัย หมายถึงสภาพภายในตัวผู้กระทำ เช่น วิสัยของเด็ก(ที่ต้องซุกซน) , วิสัยของแพทย์ซึ่งต้องมีการพิจารณาถึง อายุ เพศ การศึกษาอบรม ความจัดเจนแห่งชีวิต ประกอบด้วย 2.4 พฤติการณ์ หมายถึงสภาพภายนอกของตัวผู้กระทำ เช่นสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ขับรถขณะมืดสนิทก็ย่อมมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่ากับขับรถในเวลากลางวันดังนั้นผู้ขับรถในทางที่มืดสนิทย่อมใช้ความระมัดระวังได้ไม่เท่ากับผู้ที่ขับรถในเวลากลางวันหรือกรณีที่ผู้ป่วยป่วยหนักกลางป่าต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉิน (เช่น ทหารได้รับบาดเจ็บจากการรบ)แพทย์ก็ย่อมไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้เท่ากับการผ่าตัดในโรงพยาบาลที่อยู่ในเมืองการสมมุติบุคคลขึ้นเปรียบเทียบ จากหลักเกณฑ์ที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็นพื้นฐานให้เราได้ทราบหลักที่ใช้ในการตัดสินว่าการกระทำนั้นเป็น ประมาทหรือไม่ แต่ในทางปฏิบัติจะต้องมีการสมมุติบุคคลขึ้นเพื่อเปรียบเทียบกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา(จำเลย)โดยบุคคลที่ถูกสมมุติขึ้นมานี้ต้องมีทุกอย่างเช่นเดียวกับจำเลยกล่าวคือ ต้องมีอายุ, ความรู้ความสามารถ,ฐานะรวมทั้งมีวิสัยและอยู่ในภาวะและพฤติการณ์เช่นเดียวกับจำเลยแล้วศาลจะดูว่าบุคคลที่สมมุติขึ้นนี้โดยปกติ ( ถือความระมัดระวังในระดับมาตรฐาน ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า reasonable man ) เขาจะมีความระมัดระวังได้มากกว่าจำเลยหรือไม่ถ้าบุคคลที่สมมุติขึ้นไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้ดีกว่าจำเลย ศาลก็จะวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทแต่ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลที่สมมุติขึ้นปกติแล้วควรมีความระมัดระวังมากกว่าจำเลย ศาลก็จะวินิจฉัยว่าจำเลยประมาท เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นขอยกตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกาดังนี้ฎีกาที่ 769/2510 “จำเลยเป็นหญิงอายุ 28 ปี ขับรถมาคนเดียว ขณะรอสัญญาณไฟเมื่อเวลา 21 นาฬิกา ได้มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่และใช้ระเบิดมือขู่ให้ขับรถไป จำเลยตกใจขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟออกไปชนรถที่แล่นสวนมาโดยไม่ได้เจตนา ตามพฤติการณ์เช่นนี้ จะว่าการชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยไม่ได้ เพราะบุคคลที่อยู่ในภาวะตกตะลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่รถชนกันเช่นนั้น”คำพิพากษานี้เป็นตัวอย่างในการวินิจฉัยทั้ง 4 คำ คือ บุคคล ซึ่งในที่นี้เป็นผู้หญิงดังนั้นการตกใจก็ต้องมีมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนร้ายเข้ามานั่งคู่แล้วมีระเบิดด้วย ในภาวะเช่นนั้นคือเมื่อถูกขู่ด้วยระเบิดก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา วิสัย ของผู้หญิงที่เจอคนร้ายเข้าไปในรถก็ต้องกลัว พฤติการณ์ คือเป็นเวลากลางคืนและคนร้ายถือระเบิด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตกใจกลัว จากการพิจารณาปัจจัยทั้งสี่แล้วหากสมมุติบุคคลขึ้นมาเปรียบเทียบกับจำเลยโดยต้องเป็นผู้หญิงและตกอยู่ในสภาพและสถานการณ์เช่นเดียวกับจำเลย ซึ่งคงไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้ดีไปกว่าจำเลย ศาลจึงเห็นได้ว่าการขับรถของจำเลยที่ฝ่าไฟแดงไปชนรถของโจทก์เสียหายไม่ใช่การประมาทเลินเล่อในคดีที่มีการกล่าวหาว่าแพทย์กระทำโดยประมาท ก็ใช้หลักการเดียวกับที่ได้กล่าวข้างต้นในการวินิจฉัยโดยจะมีการสมมุติแพทย์ขึ้นมาอีกคนให้มีวิสัยและอยู่ในภาวะรวมถึงพฤติการณ์เช่นเดียวกับแพทย์ที่ตกเป็นจำเลยแล้วดูว่าแพทย์ที่สมมุติขึ้นสามารถใช้ความระมัดระวังได้มากหรือน้อยกว่าจำเลย ตัวอย่างเช่น นาย ก เป็นศัลยแพทย์ที่อยู่เวร ในโรงพยาบาล 60 เตียง ได้ทำการตรวจ นาย อ่วม ที่ถูกรถยนต์ชน ซึ่งมีอาการช็อค นาย ก วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยมีเลือดออกในช่องท้องอย่างมากจำเป็นต้องทำการผ่าตัดให้เร็วที่สุด โดยนาย ก ไม่สามารถ referผู้ป่วยไปโรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่ดีกว่าได้เพราะอยู่ห่างกัน ประมาณ 100 กม. ขณะทำการผ่าตัดผู้ป่วยตายเพราะเสียเลือดมาก ภรรยาของนายอ่วมจึงฟ้องนาย ก. เป็นคดีอาญาในข้อหา กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อึ่นเสียชีวิต ดังนั้นในการวินิจฉัยว่า นาย ก. กระทำการโดยประมาทหรือไม่ ต้องมีการสมมุติคนๆหนึ่งขึ้นมาโดยให้เป็นศัลยแพทย์ที่อยู่ในสภาพเช่นเดียวกับนาย ก. (คือต้องอยู่ในรพ.ที่มีข้อจำกัดด้านศักยภาพเช่นเดียวกัน)แล้วดูว่าคนที่ถูกสมมุติขึ้นนี้สามารถใช้ความระมัดระวัง(ระดับปกติ)ได้มากหรือน้อยกว่า นาย ก. หากเห็นว่าไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้ดีไปกว่านาย ก. ก็ถือว่านาย ก.ไม่ได้ประมาท ขอยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับคดีฟ้องแพทย์ดังนี้ฎีกาที่7452/2541 จำเลยเป็นแพทย์แจ้งโจทก์ว่ามีเด็กตายในท้อง โจทก์จึงยินยอมให้ขูดมดลูกและทำแท้งแต่เครื่องมือแพทย์ที่เข้าไปขูดมดลูกได้เกี่ยวเอาลำไส้และดึงออกมา จำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามปกติวิสัยของแพทย์ นับเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย ซึ่งต่อมาโจทก์ต้องถูกตัดลำไส้ที่ทะลักออกมาทิ้งไป จำเลยต้องรับผิดหมายเหตุ กรณีที่จำเลยประมาท แม้ว่าตัวผู้เสียหายเองจะมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดในความประมาทของจำเลยสรุป จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ในการวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยประมาทหรือไม่ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาใช้หลักเกณฑ์เดียวกันโดยจะถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทต่อเมื่อกระทำโดยไม่ได้มีเจตนา(คดีแพ่งใช้คำว่าไม่ได้จงใจ) แต่ทำโดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังที่ดีพอโดยต้องพิจารณาเรื่องวิสัย ภาวะ พฤติการณ์ ประกอบด้วย โดยจะมีการสมมุติตัวบุคคลขึ้นมาให้อยู่ในภาวะ,วิสัย,และพฤติการณ์เช่นเดียวกับจำเลยแล้วดูว่าบุคคลที่สมมุติขึ้นมาโดยปกติแล้วเขาใช้ความระมัดระวังได้ดีกว่าจำเลยหรือไม่ หากสามารถใช้ความระมัดระวังได้ดีกว่า ก็ถือว่าจำเลยประมาท
วินัยและการรักษาวินัยข้าราชการ วินัยข้าราชการ หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องความประพฤติที่ทางราชการได้เขียนขึ้นไว้ให้ข้าราชการประพฤติและปฏิบัติตาม หากไม่ประพฤติหรือปฏิบัติตามจะถูกลงโทษตามที่กำหนดไว้ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องรักษาวินัยและจรรยาบรรณตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 5 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 ดังนี้1. ต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ (มาตรา 38)2. ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ขยันหมั่นเพียร และดูแลเอาใจใส่รักษาประโยชน์ของทางราชการห้ามมิให้อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นการปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชนที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของทางราชการการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของทางราชการ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวัง รักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (มาตรา 39) 3. ต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาการรายงานโดยปกปิดข้อความซึ่งควรต้องแจ้ง ถือว่าเป็นการรานงานเท็จด้วย การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (มาตรา 40) 4. ต้องประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี มีความสุภาพเรียบร้อย วางตนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย อุทิศเวลาให้กับทางราชการอย่างเต็มที่ รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลในการปฏิบัติหน้าที่ราชการระหว่างผู้ร่วมปฏิบัติราชการด้วยกัน การกลั่นแกล้ง การดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง ผู้ร่วมปฏิบัติราชการ นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือประชาชนอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (มาตรา 41) - 2 -5. ต้องไม่ทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน การกระทำดังกล่าวให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย (มาตรา 42) 6. ต้องไม่เป็นกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือดำรงตำแหน่งอื่นที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันนั้น ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่เป็นการปฏิบัติราชการหรือได้รับมอบหมายจากอธิการบดี (มาตรา 43)7. ต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำการใด ๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว การกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (มาตรา 44) 8. ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณตามที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนด ในการกำหนดจรรยาบรรณตามวรรคหนึ่ง ให้สภาสถาบันอุดมศึกษารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาประกอบด้วย จรรยาบรรณที่กำหนดขึ้น จะกำหนดว่าการประพฤติผิดจรรยาบรรณในเรื่องใดเป็นความผิดวินัยหรือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วยก็ได้ (มาตรา 45) 9. ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณที่เป็นความผิดวินัยหรือผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าการประพฤติผิดจรรยาบรรณนั้นไม่เป็นความผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตักเตือน สั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนดหรือทำทัณฑ์บน ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือน ดำเนินการให้ถูกต้องหรือฝ่าฝืนทัณฑ์บน ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย หลักเกณฑ์และวิธีการในการตักเตือน การมีคำสั่ง หรือการทำทัณฑ์บนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนด(มาตรา 46) 10. ผู้บังคับบัญชาผู้ใดเมื่อปรากฎว่ามีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัยละเลยไม่ดำเนินการทางวินัยตามหมวด 6 (การดำเนินการทางวินัย) ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาผู้ใดกลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาในการกล่าวหาหรือดำเนินการทางวินัย ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชาผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง (มาตรา 47) - 3 - โทษทางวินัยมี 5 สถาน คือ1. ภาคทัณฑ์2. ตัดเงินเดือน3. ลดขั้นเงินเดือน4. ปลดออก5. ไล่ออก
วินัยและการรักษาวินัยของพนักงานมหาวิทยาลัย
พนักงานมหาวิทยาลัยต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ได้กำหนดไว้ในประกาศ ก.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องวินัย และการรักษาวินัย ของพนักงานมหาวิทยาลัย ประกาศ ณ วันที่ 29 มีนาคม 2543 พนักงานมหาวิทยาลัย ต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทางวินัยที่กำหนดไว้ ผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิดวินัย จึงต้องได้รับโทษทางวินัย 1. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ2. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ห้ามมิให้อาศัยหรือยินยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และถือเป็นความผิดวินัย3. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่หน่วยงาน4. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของหน่วยงานและต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่การประมาทเลินเล่อในหน้าที่อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงาน ถือเป็นความผิดวินัย5. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบของหน่วยงานและนโยบายของมหาวิทยาลัยโดยไม่ให้เสียหายแก่หน่วยงาน- 4 – การปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงาน หรือนโยบายของมหาวิทยาลัยอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงาน ถือเป็นความผิดวินัย6. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องรักษาความลับของหน่วยงานการเปิดเผยความลับของหน่วยงาน อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงาน ถือเป็นความผิดวินัย7. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของหน่วยงาน โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่หน่วยงาน หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของหน่วยงาน จะเสนอความเห็นเป็นหนังสือทันที เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งนั้นก็ได้ และเมื่อได้เสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติตามคำสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม การขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของหน่วยงาน อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงานถือเป็นความผิดวินัย8. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติงานโดยมิให้เป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปเป็นผู้สั่งให้กระทำหรือได้รับอนุญาตเป็นพิเศษเป็นครั้งคราว9. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา การรายงานโดยปกปิด ข้อความซึ่งควรต้องแจ้งถือว่าเป็นการรายงานเท็จด้วย การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงาน ถือเป็นความผิดวินัย10. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของหน่วยงาน11. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่หน่วยงานจะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่มิได้การละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเหตุให้เสียหายแก่หน่วยงานหรือละทิ้งหน้าที่ติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าเจ็ดวันโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงาน ถือเป็นความผิดวินัย - 5 – 12. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคีและไม่กระทำการอย่างใดที่เป็นการกลั่นแกล้งกันและต้องช่วยเหลือกันในการปฏิบัติงานระหว่างผู้ร่วมปฏิบัติงาน13. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องต้อนรับ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมและให้การบริการแก่ผู้มาติดต่องานเกี่ยวกับหน้าที่ของตนโดยไม่ชักช้าและด้วยความสุภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่หรือข่มเหงผู้มาติดต่องานการดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงผู้มาติดต่องาน ถือเป็นความผิดวินัย14. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องไม่กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์อันอาจทำให้เสียความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ของตน15. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่16. พนักงานมหาวิทยาลัยต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ของตนมิให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำการใด ๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว การกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือให้รับโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ถือเป็นความผิดวินัย การดำเนินการทางวินัยแก่พนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งมีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ให้สอบสวนเพื่อให้ได้ความจริงและยุติธรรมโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานระดับคณะ สถาบัน สำนัก พิจารณาเห็นว่า กรณีการกระทำผิดวินัยของพนักงานมหาวิทยาลัยผู้ใดจำเป็นจะต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อทราบมูลแห่งความผิดก่อนที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไป ก็ให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนได้โทษผิดวินัย มี 3 ระดับ ได้แก่1. ภาคทัณฑ์2. ตัดค่าจ้าง3. ปลดออกหัวหน้าหน่วยงาน(ในระดับคณะคือคณบดี)มีอำนาจการลงโทษพนักงานมหาวิทยาลัย ในระดับภาคทัณฑ์ และตัดค่าจ้างได้ไม่เกินร้อยละ 5 มีกำหนด 3 เดือน เมื่อได้ลงโทษแล้วให้รายงาน ก.บ.มหาวิทยาลัยพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้มีคำสั่งลงโทษ- 6 – การลงโทษเกินกว่าที่กำหนดให้เป็นอำนาจของ ก.บ.มหาวิทยาลัยการอุทธรณ์พนักงานสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษได้ ภายใน 30 วัน โดยให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ประจำมหาวิทยาลัย ………………………