ปัญญาความคิด
ความเชื่อในเทพเจ้า
ชาวโรมันมีความเชื่อในเทพเจ้าซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อในเทพเจ้าของกรีก จะพบว่าเทพเจ้าของรัมนมาจากการรับเอาเทพเจ้าของกรีกมานับถือโดยแปลงชื่อใหม่ เช่น Zeus เทพบิดรของกรีกได้รับการขนานนามใหม่ว่า Jupiter หรือแปลี่ยนชื่อเทพีแห่งความรักของกรีกจาก Aphrodite เป็น Venus เป็นต้น
การประกอบพิธีทางศาสนาเป็นหน้าที่ของพระซึ่งเป็นประมุขของพระได้แก่ กงสุลในสมัยสาธารณรัฐและสมัยจักรพรรดิในสมัยจักรวรรดิ ประมุขของพระยังทำหน้าที่เป็นผ็สร้างปฏิทินและกำหนดพิธีฉลองต่างๆด้วย
คริสต์ศาสนา
คริสต์ศาสนาได้เข้ามาเผยเพร่ในปลายจักรวรรดิโรมัน ในชนชั้นแรกผู้ที่นับถือศาสนานี้เป็นพวกคนยากจน ทั้งนี้เนื่องจากความเป็นมา และคำสอนของศาสนามีลักษณะที่ดึงดูดใจโดยเฉพาะชีวประวัติของพระเยซู ความเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า และคำสอนที่ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์โดยตลอดเพราะคำสอนบางประการปฏิเสธอำนาจของรัฐ
ผู้นำคริสต์ศาสนาได้รับเอารูปแบบของการบริหารและกฏหมายของโรมันมาจัดองค์กรจนคริสต์จักรมีความมั่งคั่งมากขึ้น ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินทางเปลี่ยนนโยบายมาสนับสนุนศาสนาคริสต์และทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อ สิ้นศตวรรษที่ 4 ชาวโรมันส่วนใหญ่ต่างก็เข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน
ความคิดทางปรัชญา
ความคิดทางปรัชญาได้รับทางจากกรีกโดยตรง คือรับความคิดทั้งพวกเอปิคิวเรียน ซินิคและสโตอิค ความคิดเหล่านี้ทำให้โรมันปกครองชนต่างชาติอย่างใจกว้างดังได้กล่าวมาแล้ว และความคิดเหล่านี้มีอิทธิพลโดนตรงต่อนักกฏหมายโรมันโดยเฉพาะกลุ่มสโตอิค ดังจะกล่าวต่อไป
ก. กลุ่ม Scipionic circle กับความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์
ตอยปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช Panaetius Polybius มีความสัมพันธ์กับอภิชนโรมันคือ สกิปิโอ (Scipio 185-129 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ทำให้เกิดกลุ่มนักคิดที่เรียกว่ากลุ่ม Scipionic ขึ้นกลุ่มนี้เสนอแนวความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเชื้อชาติต่างๆ ความเท่าเทียมกันของคนทำให้เกิดความยุติธรรมในรัฐ เน้นความเท่าเทียมกันของชาย หญิง ยอมรับสิทธิของภรรยาและลูกๆ ความเมตตา ความรัก ความบริสุทธิ์ในครอบครัว ขันติธรรม และให้ทานแก่เพื่อนมนุษย์ทุกชั้น
โพลีบิอุส ยอมรับว่าโลกของโรมันปกครองเป็นโลกรัฐ (World state) เพราะมีการปรับจนสมดุลย์คือกงสุลทำหน้าที่แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสภาเซเนททำหน้าที่แบบอภิชนาธิปไตย ส่วนสภาประชาชนก็ทำหน้าที่แบบประชาธิปไตย ทั้ง 3 ส่วนนี้ตรวจสอบซึ่งกันและกัน อันเป็นวิธีป้องกันความเสื่มเสียที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติคือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อเสื่อมก็กลายเป็นทรราชย์ และอภิชนาธิปไตยเมื่อเสื่อมก็จะกลายเป็นคคณาธิปไตย โพลีบิอุสถือเป็นกฏประวัติศาสตร์ว่ารัฐแบบไม่ผสมจะต้องเสื่อมลง
ความสมดุลของรัฐ มิใช่ความสมดุลขอลชนชั้น แต่เป็นความสมดุลทางด้านอำนาจทางการเมืองแนวความคิดเรื่องระบบ Check and Balance ซึ่งมีการตรวจสอบอำนาจกันและกัน และมีสิทธิวีโต้ที่ต่อมาได้นำมาใช้ในงานของมองเตสกอเออและรัฐธรรมนูญอเมริกัน
คำสอนของโพลีบิอุส ทำให้ชนชั้นปกครองถือว่าจะต้องรักษาความสมดุลย์ในการปกครอง ทำให้เกิดความเจริญด้วยการสร้างศิลปะและอักษรศาตร์ มีใจกว้าง มีเจตน์จำนงที่ดีและสุภาพ ลักษณะเช่นนี้โรมันเรียกว่า humanitas (แต่ระบบนี้ก็ทำให้เกิดจักรวรรดินิยม เช่นโรมันอ้างว่าเป็นภระของตนที่จะต้องปกครองรัฐอื่น ทำนองเดียวกับที่คนผิวขขาวอ้างภาระในการทำให้คนผิวอื่นเป็นอารยชน)