อิทธิพลของอารยธรรมตะวันออกที่มีผลต่อพัฒนาการของประเทศไทย
อารยธรรมญี่ปุ่น
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดีต่อกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยเริ่มจากการค้าขายระหว่างพ่อค้าชาวไทยกับพ่อค้าชาวโอกินาวา ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นราชอาณาจักรริวกิว (คือเมืองทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ในยุคนั้นสินค้าส่วนใหญ่ที่ไทยซื้อขายกับชาวญี่ปุ่นจะเป็นสินค้าประเภทสิ่งทอ ผ้าไหม เครื่องปั้นดินเผา ดาบ และทางญี่ปุ่นเองก็ต้องการสินค้าจากไทยประเภทเครื่องสังคโลก เครื่องเทศ สุรา ฯลฯ การค้าขายระหว่างชาวไทยและชาวญี่ปุ่นในช่วงนั้นจึงมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างกว้างขวาง จนมีหลักฐานกล่าวไว้ว่าเรือจากญี่ปุ่นที่เข้ามาทำการค้าขายกับไทยในยุคนั้นมากกว่าการค้าขายกับประเทศใดๆ เลยทีเดียว จนเริ่มมีการตั้งรกรากของพ่อค้าญี่ปุ่นบางส่วน จากนั้นจึงมีพระบรมราชานุญาตให้ชาวญี่ปุ่นสามารถเข้ามาสร้างหลักแหล่งในกรุงศรีอยุธยาได้ ตั้งแต่นั้นมาชาวญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าและอดีตซามูไรที่แพ้การต่อสู้จึงเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากอยู่ในกรุงศรีอยุธยา กลายเป็นชุมชนที่เรียกขานกันว่า “หมู่บ้านญี่ปุ่น” จนราวปีพ.ศ.2148 ในยุคของสมเด็จพระเอกาทศรถ ทางประเทศญี่ปุ่นได้ส่งราชทูตนำสาส์นพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถวาย โดยมีการแจ้งในสาส์นว่าต้องการไม้กฤษณาและปืนยาวจากสยาม ทางไทยเราหรือสยามขณะนั้นจึงเริ่มการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตกับประเทศญี่ปุ่นเป็นต้นมา ซามูไรบางคนได้รับความไว้วางใจให้มาช่วยด้านราชการทหาร มีการจัดตั้ง “กรมอาสาญี่ปุ่น” มีซามูไรยามาดะ นางามาสะ เป็นเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น โดยจะคอยประสานงานด้านความสัมพันธ์ของไทย-ญี่ปุ่น มีหน้าที่คอยดูแลด้านการค้า รวมไปถึงดูแลชุมชนหมู่บ้านญี่ปุ่นอีกด้วย