เสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร
คลื่นเสียงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง พลังงานเสียงจะถูกถ่ายโอนผ่านโมเลกุลของอากาศจนถึงหูผู้ฟัง ถ้าพลังงานเสียงมากพอก็จะได้ยินเสียงได้ นั่นคือความดังของเสียง พลังงานเสียงที่ตกตั้งฉากบนหนึ่งหน่วยพื้นที่ในหนึ่งหน่วยเวลาเรียกว่า ความเข้มเสียง (sound intensity) มีหน่วยเป็นวัตต์ต่อตารางเมตร
เสียงที่ได้ยินมีช่วงความเข้มที่กว้างมาก ซึ่งไม่สะดวกในการใช้หรืออ้างอิง จึงวัดความดังเป็น ระดับความเข้มเสียง (sound intensity level) กำหนดให้เสียงค่อยที่สุดที่เริ่มได้ยินมีระดับความเข้มเสียงเป็น 0 เดซิเบล และเสียงดังที่สุดที่ไม่เป็นอันตรายต่อหูมีระดับความเข้มเสียงเป็น 120 เดซิเบล
ภาพ 3.22 เครื่องวัดระดับความเข้มเสียงชนิดหนึ่ง แสดงผลการวัดด้วยตัวเลข
ระดับความเข้มเสียงของแหล่งกำเนิดเสียงต่างๆ แสดงในตาราง 3.1
ตาราง 3.1 ระดับความเข้มเสียงโดยประมาณจากแหล่งกำเนิดเสียงต่างๆ
- จากตาราง 3.1 ถ้าเราได้ยินเสียงความเข้มมากติดต่อกันเป็นเวลานาน จะเป็นอันตรายต่อหูหรือไม่
ตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก ระดับความเข้มเสียงที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 85 เดซิเบล และได้ยินติดต่อกันไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง เสียงที่มีระดับความเข้มเสียงสูงกว่านี้เป็นเสียงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อหูและสภาพจิตใจของผู้ฟังได้ ถือได้ว่าเป็น มลภาวะของเสียง (noise pollution)
เครื่องอุดหู (ear plugs) สามารถลดระดับความเข้มเสียงได้ 6-25 เดซิเบล ส่วนเครื่องครอบหู (ear muffs) สามารถลดระดับความเข้มเสียงได้ 30-40
ภาพ 3.23 วิธีการต่างๆที่ใช้ลดมลภาวะของเสียง
กิจกรรม 3.2 เสียงรบกวนในท้องถิ่น
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและระดมความคิดร่วมกัน เกี่ยวกับระดับความเข้มเสียงบริเวณต่างๆในท้องถิ่น เช่น การจราจร โรงงาน สถานประกอบการ หรือบริเวณอื่นใดที่อาจมีปัญหามลภาวะของเสียง แล้วอภิปรายร่วมกัน เสนอแนวคิดในการลดมลภาวะของเสียง จากนั้นให้ร่วมกันนำเสนอผล