โรมัน
อารยธรรมโรมัน
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กับการตั้งถิ่นฐาน
อารยธรรมโรมันมีแหล่งกำเนิดจากบริเวณคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรปโดยมีลักษณะเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและเนินเขา ได้แก่ เทือกเขาแอลป์ทางทิศเหนือ ซึ่งกั้นคาบสมุทรอิตาลีออกจากดินแดนส่วนอื่นของทวีปยุโรป และเทือกเขาอเพนไนน์ซึ่งเป็นแกนกลางของคาบสมุทร ส่วนบริเวณที่ราบมีน้อย ที่ราบที่สำคัญ เช่น ที่ราบชายฝั่งทะเลติร์เรเนียน (Tyrenian Sea)ที่ราบลุ่มไทเบอร์ ซึ่งอยู่ทางเหนือ
เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศบริเวณตอนกลางของคาบสมุทรเป็นที่ราบเล็กๆจึงทำให้ กระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กอยู่อย่างกระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆพื้นที่เกษตร จึงมีไม่มากนัก และมีประชากรเพิ่มมากขึ้นบริเวณดังกล่าวจึงไม่สามารถรองรับการกสิกรรมที่ ขยายตัวได้ จึงเป็นสาเหตุให้ชาวโรมันขยายดินแดนไปยังดินแดนอื่นๆ
โดยทั่วไปคาบสมุทรอิตาลีมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน สภาพอากาศอบอุ่น มีฝนตกในฤดูหนาว และอากาศแห้งแล้งในฤดูแล้งดินแดนในคาบสมุทรอิตาลีมีทรัพยากรแร่ธาตุอุดม สมบูรณ์พอสมควร เช่น เหล็ก สังกะสี เงิน หินอ่อน ยิปซัม เกลือ และโพแทช นอกจากนั้นยังมีทรัพยากรป่าไม้ ส่วนทรัพยากรดินมีจำนวนจำกัด เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่ไม่มีพื้นที่เพียงพอต่อการตั้งถิ่นฐาน และต้องแย่งชิงกับชนกลุ่มอื่นๆที่อยู่ในดินแดนแถบนี้ ในขณะเดียวกันยังสามารถเดินเรือค้าขายในทะเลเมิดิเตอร์เรเนียนได้อย่างสะดวก ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ส่งผลให้ประชากรชาวโรมันเป็นคนที่ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด สามารถขยายอาณาเขตยึดครองดินแดนของชนเผ่าอื่นๆ เช่น ดินแดนของพวกอีทรัสกัน ดินแดนรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ชาวโรมันได้รับอารยธรรมจากดินแดนต่างๆที่เข้ายึดครองผสมผสานกับ อารยธรรมโรมันของตนเอง
<!--pagebreak-->
อารยธรรมโรมันสมัยประวัติศาสตร์
ชาวโรมันมีความเชื่อตามตำนานว่า กรุงโรมสถาปนาขึ้นบนเนินเขา๗ลูกเมื่อ๗๙๓ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่งชื่อ โรมูลุส และเรมุส ซึ่งเติบโตจากน้ำนมและการเลี้ยงดูของสุนัขป่า แต่ตามหลักฐานทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ยืนยันว่าบริเวณที่ตั้ง ของกรุงโรมในปัจจุบันมีพวกอีทรัสกัน ซึ่งได้รับอารยธรรมของกรีกอยู่ก่อนครอบครองพวกอีทรัสกันมีถิ่นเดิมอยู่ในเอ เชียไมเนอร์ และเมื่ออพยพเข้ามาในแหลมอิตาลีก็ได้นำเอาความเชื่อในศาสนาของกรีก ศิลปะการแกะสลัก การทำเครื่องปั้นดินเผา อักษรกรีก การหล่อทองแดงและบรอนซ์การปกครองแบบนครรัฐ การวางผังเมือง การสร้างอารุธ และอื่นๆเข้ามาเผยแพร่ในคาบสมุทรอิตาลี
นอกจากพวกอีทรัสกันแล้ว ในบริเวณแหลมอิตาลียังเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพจากเผ่าอื่นๆอีกที่สำคัญ ได้แก่ พวกละตินซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวโรมันในแถบบริเวณที่ราบละติอุม ทางตอนใต้ของแอาแม่น้ำไทเบอร์ พวกนี้มีอาชีพปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ และต่อมาได้มีการติดต่อกับพวกอีทรัสกันใน๕๐๙ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินได้ขับไล่กษัตริย์อีทรัสกันออกจากบังลังก์และจัดตั้งโรมมีรูปแบบการ ปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ อำนาจการปกครองยังเป็นของชนชั้นสูงที่เรียกว่า พวกพาทรีเชียน เท่านั้น ส่วนราษฎรสามัญหรือประชาชนส่วนใหญ่ที่เรียกว่า เพลเบียน ไม่มีสิทธิใดๆทั้งด้านการเมืองและสังคมความขัดแย้งระหว่างพวกพาทรีเชียน และ เพลเบียนนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างชนชั้นทั้งสองในปี ๔๔๙ ก่อนคริสต์ศักราช พวกเบลเบียนได้มีสิทธิออกกฎหมายร่วมกับพวกพาทรีเชียน เป็นการออกประมวลกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมัน เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ เพื่อใช้บังคับให้ชาวโรมันทุกคนปฎิบัติอยู่ในกรอบเดียวกันของกฎหมายและสังคม กฎหมายสิบสองโต๊ะดังกล่าวนับเป็นมรดกชิ้นสำคัญของโรมที่ถือกันว่าเป็นแม่บท ของ กฎหมายโลกตะวันตก
ระหว่าง ๒๖๔ - ๑๔๖ ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมันทำสงครามพิวนิก กับพวกคาร์เทจที่ตั้งอาณาจักรในบริเวณภาคเหนือทวีปแอฟริกา คาร์เทจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องสูญเสียอาณาจักร เป็นการเปิดโอกาสให้โรมันได้เป็นเจ้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นรัฐที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้น โดยผูกขาดการค้าระหว่างยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออกและเอเชียไมเนอร์ จนมีฐานะมั่งคั่ง และมีอำนาจปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล
เมื่อ ๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมันได้ยุติการปกครองในระบอบสาธารณรัฐและหันมาใช้การปกครองแบบจักรวรรดิ อย่างเป็นทางการออคเทเวียน ได้รับสมญานามว่า ออกุสตุส และสภาโรมันยกย่องให้เป็น จักรวรรดิ พระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน โรมันเจริญถึงขีดสูงสุดและสามารถขยายอำนาจและอิทธิพลไปทั่วทั้งทวีปยุโรป มีการสร้างถนนทั่วไปเพื่อสะดวกในการลำเลียงสินค้าและทหาร ตลอดจนส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมในแขนงต่างๆในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ จักรวรรดิโรมันอ่อนแอลงตามลำดับจนในที่สุดกรุงโรมถูหพวกอนารยชนเผ่าเยอรมัน หรือเผ่ากอท เข้าปล้นสะดมหลายครั้ง จักรพรรดิของโรมันองค์สุดท้ายถูกอนารยชนขับออกจากบังลังก์ใน ค.ศ.๔๗๖ จึงถือกันว่าปีดังกล่าวเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน และประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่นับสืบทอดมาตั้งแต่การเกิดอารยธรรมในลุ่มแม่ น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสและลุ่มแม่น้ำไนล์
<!--pagebreak-->
มรดกที่สำคัญทางด้านศิลปวัฒนธรรมของโรมัน
ชาวโรมันได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีกทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านจากชนชาติต่างๆที่เข้ามาติดต่อค้าขายในแหลมอิตาลีและโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งพวกอีทรัสกัน เมื่อเริ่มก่อตั้งสาธารณรัฐโรมันใน๕o๙ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้เรียนรู้วิธีการต่อเรือ การใช้อักษร เหรียญกษาปณ์ และมาตรา ชั่ง ตวง วัด ตลอดจนงานสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะแขนงต่างๆจากกรีก แม้ชาวโรมันจะด้อยกว่าชาวกรีกในเชิงจินตนาการ แต่พวกโรมันก็มีอุปนิสัยเฉพาะตัวและความเฉลียวฉลาดในการดัดแปลง และเสริมแต่งศิลปวัฒนธรรมของกรีกให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมโรมันและ ระบอบการปกครองของประเทศ ดังนั้นศิลปกรรมของโรมันจะสะท้อนให้เห็นบุคลิกภาพของชาวโรมันว่าเป็นนัก ปฏิบัติมากกว่าชาวกรีก ชาวโรมันไม่นิยมสร้างวิหารขนาดใหญ่ถวายเทพเจ้าอย่างกรีก แต่กลับสร้างอาคารต่างๆเพื่อสนองความต้องการของรัฐและประโยชน์ใช้สอยของ สาธารณชน เช่น สร้างโรงมหรสพขนาดใหญ่จุผู้ชมได้ถึง ๖๗,๐๐๐คน เรียกว่า โคลอสเซียม เพื่อความหย่อนใจของประชาชน เช่น เป็นที่แสดงกีฬาต่อสู้กับสิงโต สถานที่อาบน้ำสาธารณะ เพื่อเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ และเล่มเกมต่างๆประตูเมือง ท่อส่งน้ำ ถนน และสะพานขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นความสามารถเชิงวิศวกรรม เพื่อความสะดวกในการคมนาคมขนส่งและเคลื่อนทัพในจักรวรรดิ งานทางด้านสถาปัตยกรรมจะเน้นความใหญ่โต แข็งแรง ทนทาน โรมันได้พัฒนาเทคนิคในการออกแบบก่อสร้างของกรีกเป็นประตูโค้ง และเปลี่ยนหลังคาแบบจั่วเป็นโดม ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างในการก่อสร้างอาคารต่างๆในยุโรปสมัยกลางสำหรับงานด้าน ประติมากรรมโรมันก็แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในระดับสูง
ของ ซิเซโร ซึ่งเป็นข้อเขียนทางการเมืองและจริยธรรมในรูปแบบของสุนทรพจน์และจดหมาย ซิเซโรใช้ภาษาละตินที่สละสลวยมีระเบียนแบบแผนในงานประพันธ์ร้อยแก้วของเขา ซึ่งถือเป็นแม่แบบของการใช้ภาษาละติน ทักยุคสมัยต่อมาดังนั้นซิเซโรจึงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้กำเนิดคำประพันธ์ ประเภทร้อยแก้ว งานประพันธ์ของเขายังมีลักษณะพิเศษที่ใช้โวหารในการเสียดสีประชดประชัน พฤติกรรมของฝ่ายปกครองในด้านศีลธรรมจรรยาและอำนาจรัฐ ทั้งในเชิงติเตียนและสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในงานประพันธ์ของกรีก นอกจากนี้ก็มีงานประวัติศาสตร์เน้นความยิ่งใหญ่ของโรม เช่น งานเขียนเรื่องบันทึกสงครามกอล ของจูเลียส ซีซาร์ ประวัติศาสตร์กรุงโรมของลีวี และงานเขียนเกี่ยวกับอนารยชน เรื่อง เยอรมาเนียของแทคซิตุส เป็นต้นซึ่งยังนิยมอ่านและศึกษษจนถึงปัจจุบัน
มรดกที่ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของโรมัน ได้แก่ กฎหมาย ในระยะแรกกฎหมายโรมันไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่เป็นระบบ กฎหมายยังมีลักษณะผสมกลมกลืนกับศาสนา แต่ต่อมากฎหมายโรมันได้เปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยจากข้อบัญญัติของพระเจ้า มาเป็นกฎหมายบ้านเมือง ในที่สุดก็ได้มีการตรากฎหมายสิบสองโต๊ะเพื่อให้ยุติธรรมแก่ชาวโรมันอย่างทัด เทียมกันใน ๔๕๐ปีก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นกฎหมายของโรมันก็วิวัฒนาการเป็นระบบมากขึ้น และใช้บังคับประชาชนทั่วไปในจักรวรรดิ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ และให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนยิ่งขึ้น แม้แต่ทาสซึ่งโรมันไม่นับเป็นพลเมือง ก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์เรียกร้องความยุติธรรมจากบ้านเมืองได้ในกรณีที่ถูก เจ้านายทำทารุณกรรมประมวลกฎหมายโรมันนี้เป็นรากฐานของประมวลกฎหมายของประเทศ ต่างๆ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน สกอตแลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น แม้แต่กฎหมายของวัดในสมัยกลาง ที่เรียกว่าCanon Lawก็ยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกฎหมายโรมันในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน แห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์ หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกซึ่งได้รวบรวมและจัด ประมวลกฎหมายโรมันเป็นหมวดหมู่และทิ้งไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าของตะวันตก