ดาวอังคาร
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mars_7.jpg
ดาวอังคารแบ่งเป็น 2 ส่วน Lowlands และ Highlands
ดาวอังคารมีความหลากหลายทางธรณีวิทยา ด้วยพัฒนาจากกลไกแผ่นดินไหวการเปลี่ยนแปลงเกิดพื้นที่ราบ ด้วยลมพัดหอบทรายจากขั้วเหนือ ไปตกลงในหลุมกว้างของภูเขาไฟเช่น Olympus Mons เพราะฉะนั้นพื้นจึงคล้ายตุ่มเล็กๆบนพื้นผิว
ภาพรวมดาวอังคารแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านเหนือเรียก Lowlands (ที่ต่ำ) ด้านใต้เรียกHighlands (ที่สูง) ทั้งสองส่วน มีความชันต่างกัน 2กิโลเมตร ซึ่งกรณีนี้มีเหตุผลขัดแย้งกันในความเห็นมากมาย เช่น Lowlands อาจเกิดการชนปะทะอุกกาบาตครั้งใหญ่มโหฬาร จนเกิดเป็นที่ลุ่มติดกันเป็นชุด ส่วนอีกความ เห็นแสดงเหตุผลว่าเกิดความแตกต่าง จากการพัฒนาภายในสะท้อนกลับออกมา หลังจากนั้นเมื่อมีความมั่นคง เกิดลักษณะ Highlands ยกตัวบริเวณรอยต่อของแผ่นดินสองผืน ที่แนวขอบเมื่อผ่านไปนาน ถูกกัดเซาะด้วยความหลากหลายรวมถึงพื้นที่ชัน ทรุดโทรม ถูกทับถมด้วยทรายพัดมาจากที่อื่น ด้านเหนือ Lowlands ครอบคลุมด้วยที่ราบต่างๆ รวมถึงทางไหลของลาวา บริเวณสะสมแหล่งหินตะกอน และแหล่งวัตถุดิบพัฒนาการ จากแสงสะท้อนดวงอาทิตย์ (รวมถึงบริเวณที่หนาวเย็น) โดยเฉพาะที่ราบทางเหนือบนพื้นผิว พบหินที่โผล่ออกมาสูงเป็นเมตรมากมาย ท่ามกลางพื้นดิน ด้วยลมหอบฝุ่นมาสะสมในทางเคมีเป็นหินBasalts มีแร่เหล็กเป็นส่วนใหญ่
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mars_9.jpg
แสดงว่าเกิดรูปแบบจาก สภาพแวดล้อมของภูเขาไฟผสมกับดินสีแดง ส่วนด้านใต้Highlands มีรอยร่องที่ชนปะทะอย่างหนัก เป็นปากปล่องหลุมใหญ่ การสำรวจระยะใกล้พบว่าถูกกัดเซาะจากลมและน้ำ ใต้บริเวณก้นพื้นของหลุมใหญ่ เป็นแหล่งสะสมเต็มไปด้วย หินตะกอน ช่องว่างระหว่างแต่ละปากปล่องเกิด ลักษณะแนวบังเกอร์ด้วยลมพัดหอบฝุ่นเม็ดหินมากองไว้ หรือปกคลุมด้วยลาวา
ส่วนผสมของดินบนดาวอังคาร และรูปแบบแม่น้ำ
ลักษณะดินถูกดันออก (Ejecta) จากปากหลุมที่ถูกชนปะทะ กองพองออกมาต่างจากปากหลุมดวงจันทร์ของโลก ในทางทฤษฎี ก้นภายในหลุมที่ถูกปะทะใต้ดินนั้นมีน้ำหรือน้ำแข็ง ผสมกับหิน ดินเมื่อถูกแรงอัดดันกลายเป็นของเหลว คล้ายโคลนผสมกัน หรือมิฉะนั้นดินปากหลุมถูกดันออก แต่ละหลุมมีผลกระทบต่อกันเองใน ขณะแตกกระจายกัน กลางอากาศกลางชั้นบรรยากาศ (สูงมาก) เป็นพัฒนาการผสมกันอีกแบบจากการชนปะทะ รูปแบบช่องทางน้ำไหล มีหลายประเภทบนดาวอังคาร แต่มีแบบหนึ่งแสดงความหายนะอย่างใหญ่หลวง ด้วยขนาดใหญ่มากของปริมาตรน้ำ ส่วนรูปแบบอื่นๆ เช่น น้ำพุธรรมชาติ มีมากนับร้อยแห่งต่อพันตารางกิโลเมตร
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mars_10.jpg
บางพื้นที่มีช่องทางน้ำไหล สู่ปากปล่องหลุมภูเขาไฟใหญ่ เป็นลำธารดึกดำบรรพ์มีหินตะกอนสะสมอยู่ ตัวอย่างที่ชัดของ Chryse Planitia ซากเก่าแม่น้ำใหญ่และยาวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ไหลผ่านแนวที่ราบด้านเหนือ Lowland แสดงล่องน้ำบนพื้นผิวเกิดขึ้น แตกสาขา แม่น้ำน้อยออกหลายสาย พื้นที่ใหม่บนดาวอังคารพบได้ ทั้งในเขตขั้วเหนือและขั้วใต้ โดยเชื่อว่าเขตใต้มี องค์ประกอบชั้นดินน้ำแข็ง และฝุ่นจากบรรยากาศนอนก้น สะสมรวมกัน แต่ละชั้นสะท้อนให้เห็น วัฐจักรบนดาวอังคาร บันทึกแสดงอาการ Wobbles (การหมุนตัวเองแบบโคลงเคลง) ที่ผ่านมา แถบเขตเหนือมีความคล้ายคลึงกันแต่ไม่กว้างขวางนัก กลับพบเนินทรายเช่นเดียวกับโลก รอบ Polar cap แบบไม่สม่ำเสมอนัก บางแห่งใหญ่ขนาด 500,000 กม. เนินทรายถูกหอบพัดมาจากน้ำ หรือลม เป็นพัฒนาการแสดงความหลากหลายให้เกิดพื้นผิวที่สว่าง ดำมืด จากการทับถมแต่ละชั้นของแต่ละแห่ง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปทรง พลิกหน้าดิน ด้วยระยะเวลาและ Wind vanes (ลมพายุใบจักร)
ภูเขาไฟยักษ์ หน้าผาใหญ่ บนดาวอังคาร
ความน่าทึ่งของโครงสร้างภูเขาไฟ ขนาดใหญ่โตมาก เช่น Olympus Mons ความสูง27 กิโลเมตร ถือว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาภูเขาไฟของระบบสุริยะ และเป็นภูเขาไฟคล้ายคลึงกับบนเกาะฮาวาย ของโลก (ไม่เกี่ยวกับขนาด) ทั้งสองแห่งมีหลุมกว้างกักเก็บลาวาที่หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะมีส่วนประกอบ Iron-rich silicate rocks
Valles Marineris บนดาวอังคาร รูปแบบคล้ายกับ Grand Canyon บนโลกเกิดขึ้นจากแผ่นเปลือกดาวอังคารจากเหตุการณ์ขยายตัวออกและการเคลื่อนตัวครั้งใหญ่เกิดรอยแยกหลังจากนั้น ถูกกัดเซาะของน้ำและลม เวลาผ่านไปถูกทับถมด้วยตะกอนเป็นขบวนการเกิดต่อเนื่อง จากยุคดึกดำบรรพ์
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mars_8.jpg
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2