ดาวพุธ
สภาพบรรยากาศทั่วไป
บรรยากาศทั่วไป มีก๊าซ Hydrogen - Helium อุณหภูมิ ด้านที่หันสู่ดวงอาทิตย์ร้อนจัด 427 องศา C ด้านหลังที่มืดหนาวจัด -173 องศา C ตรวจพบสนามแม่เหล็กปรากฎรอบดาวพุธ มีความหนาแน่นสูงของ Iron 60-70 % (เทียบโดยน้ำหนัก)บนพื้นผิวไม่ปรากฎการกัดเซาะ เนื่องจากปราศจากลมและน้ำ เพราะฉะนั้นการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิว เกิดจากเหตุชนปะทะของ อุกกาบาต และการเปลี่ยนแปลงผิวจาก ภูเขาไฟ ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้อุณหภูมิ พื้นผิวสองด้านแตกต่างกันมาก ขณะที่ด้านกลางคืนเป็น - 180 องศาเซลเซียส ด้านกลางวันมีอุณหภูมิสูงถึง 450 - 650 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนมากพอที่ตะกั่วหลอมละลายได้
http://www.solarsystem.ie/th/images/mercurysurface.jpg
วิเคราะห์หลุมอุกกาบาต บนพื้นผิวดาวพุธ
บนพื้นผิวดาวพุธ มีหลุมรอยชนปะทะมาก เหมือนผิวหนังที่พุพอง ในชั้นบรรยากาศจะเต็มไปด้วยสะเก็ด อุกกาบาตเล็กๆ ระดมยิงลงมาบนพื้นผิวตลอดเวลา เชื่อได้ว่าบนดาวพุธแถบไม่มีพื้นผิวที่ราบเรียบเลย แต่มากมายด้วยหลุมบ่อเล็ก บ่อน้อยเช่นผิวดวงจันทร์ของโลก
แต่หลังจากวิเคราะห์ ข้อมูลใหม่ มีบางประการอาจไม่ถูกต้อง จากที่เคยเข้าใจ หลุมขนาดใหญ่เก่าแก่ บริเวณปากหลุมถูกลบเลือนเห็นได้ชัดเจนโดยเกิดรูปแบบบดบังจากวัตถุดิบเหนือพื้นผิวที่แปรสภาพ ขบวนการดังกล่าว เรียกว่า Intercrater plains (เกิดความเรียบระหว่างหลุม) บนความเรียบระหว่างหลุมนั้น มีลอนลาดเป็นลูกคลื่น น่าจะเกิดจากการไหลของลาวาจากภูเขาไฟในอดีต หรือ การแรงอัดกระแทกจากการชนปะทะจากอุกกาบาตจนทำให้ พื้นผิวขับเคลื่อนเป็นลอน (Impact ejecta deposit) ทำใหพื้นที่หลุมเก่าเหมือนถูกกลบจากล่องลอยชน
เมื่อศึกษาโดยละเอียดเพิ่มเติม พบว่าขนาด หลุมอุกกาบาต มีขนาดที่แตกต่างจากหลุมบนดวงจันทร์ของโลก โดยส่วนใหญ่หลุมบนดวงจันทร์ มีลักษณะเหมือนโพรงขนาดใหญ่ ที่ถูกขุดแบบกระจุยกระจายบนพื้นผิว ส่วนบนดาวพุธลักษณะเกิดขอบใกล้ริมปากหลุมมากกว่า ตั้งแต่ชนปะทะครั้งดึกดำบรรพ์ เป็นการเกิดแบบดันออก (Ejecta)ทั้งนี้เพราะดาวพุธ มีแรงดึงดูดสูงกว่าดวงจันทร์
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mercury_9.jpg
การหดตัวและการเกิดลอนลูกคลื่น บนผิวดาวพุธ
การแสดงรูปแบบ Tectonic (การเปลี่ยนแปลงผิวจากภูเขาไฟ) บนดาวพุธ ที่เกิดการก่อตัวบนพื้นผิว เหมือนตุ่มที่ชันขึ้น (Lobate scarps) กรอปทำให้เกิดหน้าผาตัดผ่านแถบยาวและบริเวณปากปล่องหลุมด้วย กรณีดังกล่าวที่เกิด Lobate scarpsเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการผลักดันแบบไร้ทิศทาง แสดงความกดดันบนเปลือกดาวพุธ จากความกดดันมีอย่างยาวนานนั้น เมื่อเย็นตัวลงทำให้พื้นผิว บนดาวพุธหดย่นลง เหมือนลอนลูกคลื่นจากนั้นค่อยๆสร้างผลกระทบไปสู่ ความกดดันชั้นเปลือก (Crust) ลงต่อสู่ระบบปัญหาการหมุนของตัวเอง
การสำรวจพบว่า ครึ่งหนึ่งบนพื้นผิวดาวพุธ เต็มไปด้วยปุ่มเนิน (Prominent) โดยเฉพาะบริเวณ Caloris basin ทำให้เห็นเหมือนแผลเป็นบนดาวพุธ เป็นแนววงแหวน กลุ่มก้อนภูเขา มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,300 กิโลเมตร ภูเขาบางแห่งยาว 30-50 กม.ความสูง 1-2 กม.ตามแนวที่ราบเรียบสันเขาทั้งหมด ได้พบหลุมเล็กๆอันเกิดจากการระดมยิงของอุกกาบาตอย่างต่อเนื่องบนผิวหน้า ส่วนใจกลาง Caloris basin เป็นพื้นดินแนวต่ำ ในด้านตรงกันข้าม อีกฝั่งของดวงพุธ กลับพบร่องรอยแตกหักแตกแยกขนาดใหญ่ ในกรณีนี้มีข้อโต้แย้งกันว่า อาจเกิดสาเหตุ หินที่เย็นตัวถูกดันออกมาจาก Melts(ชั้นหลอมละลาย) ของ Magmas เหมือนถูกเคาะออกมาอย่างเบาๆ จากการชนปะทะของอุกกาบาตในบริเวณนั้น มีผลไปยังฝั่งตรงข้ามอีกด้าน หรือจากปฏิกิริยาในชั้นหลอมละลาย เกิดความร้อนเพราะการชนปะทะของอุกกาบาต
http://www.sunflowercosmos.org/glossary/glossary_images/panet_profile_mercury_8.jpg
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2