จังหวัดนครสวรรค์ ประตูสู่ภาคเหนือ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ใช้เวลาเที่ยวกันจริงๆ วันเดียวก็น่าจะพอ
          จากกรุงเทพฯ ออกเดินทางสัก 9 โมงเช้า เผื่อเวลาสักหน่อยสำหรับพวกที่ชอบมาตามเวลา คือ ปล่อยให้เวลามาก่อน ฉันค่อยตามมา ถ้านัดคนประเภทนี้ แนะนำให้บอกเวลาเร็วขึ้นกว่าคนอื่นๆ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือ 40 นาทีเป็นอย่างต่ำ ป้องกันความเซ็งของเพื่อนร่วมทาง
          หรือถ้าเป็นประเภทชอบเที่ยววัด เดินทางเช้ากว่านั้นสักหน่อย แวะเข้าอยุธยาไหว้พระก่อนขับรถไปจังหวัดนครสวรรค์ แต่ไม่อยากแนะนำสำหรับคณะที่มีเวลาแค่วันเดียว ทำให้เที่ยวได้ไม่ทั่ว ทั้งอยุธยาและนครสวรรค์
          ด้วยความเร็วปลอดภัยไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลดความเร็วบ้างไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อประหยัดน้ำมันในบางช่วง ก็ไม่ได้ทำให้ที่หมายหนีไปไหน และไม่ใช้เวลามากเกินสมควร ที่สำคัญแซงขวาแล้วอย่าลืมกลับมาวิ่งเลนซ้ายบ้าง ไม่เช่นนั้นอาจถูกคุณตำรวจแจกใบสั่งได้ง่ายๆ

          ส้มตำร้านเจ๊รัตน์..ถูก อร่อย

          บอกตามตรง เจ๊รัตน์คงไม่แอบเมาท์ทีหลัง ไม่ได้ตั้งใจไปร้านเจ๊หรอกฮ่า สารถีตั้งใจจะพาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม แทนที่จะเลี้ยวขวา กลับเลี้ยวซ้ายอ้อมใต้สะพานข้ามแม่น้ำที่จะมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองนครสวรรค์
          เอ้า! ไหนๆ ก็ไหนๆ ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนี่ แวะหม่ำข้าวเหนียวไก่ย่าง ส้มตำ กันดีกว่า กลิ่นหอมของไก่ยั่วยวนบอกไม่ถูก
          ร้านเจ๊รัตน์ ไม่ได้หรูหราอะไร สร้างเป็นเพิงขนาดใหญ่ บรรยากาศแบบบ้านๆ ริมทุ่ง มีประมาณสิบโต๊ะเห็นจะได้
          ขอเมนูมาดูเท่านั้นแหละ โอ้โห! น่ากินอย่าบอกใคร ราคา 15-30 บาท งานนี้คออีสานพลาดไม่ได้
          เมนูส้มตำมีอยู่ 15 เมนู ส้มตำโคราช ส้มตำปลากรอบ ส้มตำทอด ส้มตำถั่ว ส้มตำไข่เค็ม ส้มตำหมูทอด ส้มตำมาม่า ส้มตำไทย ส้มตำปู ส้มตำปู-ไทย ส้มตำปู-ปลาร้า ส้มตำมะม่วงปลากรอบ ตำผลไม้ และส้มตำไหลบัวลุยสวน จานสุดท้ายนี่หากินไม่ได้ง่ายๆ ราคาแค่ 20 บาทเท่านั้น
          ประเภทยำ-ย่าง เช่น ยำสไบ เสือคลุกฝุ่น เอ็นไก่ทอด หมูย่างจิ้ม สะโพกไก่ย่าง ไส้ย่าง ยำไส้ตัน ต้มแซ่บเอ็นหมู ยำตับหวาน ฯลฯ
          หรือจะสั่งอาหารจานเดียวอย่างขนมจีนน้ำเงี้ยว ราคาแค่ 20 บาท
          กินกัน 7 คน หมดค่าอาหารมื้อนี้ไม่ถึง 500 บาท!
          เป็นไฮโซก็เข้าร้านนี้ได้ เปลี่ยนบรรยากาศมาติดดิน อร่อยไปอีกแบบ
          หนังท้องตึง แต่หนังตายังหย่อนไม่ได้ เพราะตอนแรกที่ตั้งใจจะไปวัด ดั๊นเห็นแก่กินกันก่อนทำบุญ ว่าแล้วก็พากันเดินหน้าไปไหว้พระดีกว่า

          วัดคีรีวงศ์
          มาถึงนครสวรค์ ถ้าใครไม่ได้ขึ้นมาที่ “วัดคีรีวงศ์” จะเสียดายมาก จะแวะขาไปหรือขากลับจากเมืองเหนือ ทำได้เหมือนกัน ถ้าขับรถมาจากกรุงเทพฯ ให้ผ่านสี่แยกไฟแดงที่จะเลี้ยวเข้าตัวเมืองนครสวรรค์มาก่อน เพื่อเลี้ยวขวาที่แยกถัดไป แหงนดูป้ายบอกทางไปพิษณุโลก ขับไปเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกตลอดทาง ไม่มีทางหลง หรือถ้าไปไม่ถูกจริงๆ ถามคนแถวนั้นง่ายที่สุด
          ทางขึ้นวัดคีรีวงศ์ ค่อนข้างชัน การขับรถเกียร์กระปุก อาจลำบากสักนิด ยิ่งถ้ามีรถคับคั่งด้วยแล้ว ต้องออกแรงกันเยอะหน่อย
          บริเวณวัดมีที่จอดรถพอสมควร ไม่มีการเก็บค่าจอดรถแต่อย่างใด และยังเป็นจุดที่สามารถชมวิวเมืองนครสวรรค์ได้ด้วย คณะไหนมีเวลามากหน่อย จะนั่งปล่อยอารมณ์ที่นี่ก็ไม่ผิดกติกา แต่ต้องถามความสมัครใจพรรคพวกร่วมก๊วนด้วยนะ พึงจำไว้ไม่ใช่ทุกคนชอบเที่ยววัด

          เพราะนี่ไม่ใช่ทัวร์ธรรม ฮ่าๆ ..

          วัดคีรีวงศ์ มีพื้นที่ของวัดทั้งบนเขาและที่ราบ ประมาณ 280 ไร่ มีพระจุฬามณีเจดีย์ ตั้งอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์ ตรงฐานพระเจดีย์เก่า สาเหตุที่ตั้งชื่อว่า เขาดาวดึงส์ เนื่องจากอยู่ตรงถนนดาวดึงส์ และเมืองนครสวรรค์ โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ ตั้งชื่อให้
          ภายในองค์พระเจดีย์ ชั้น 5 มีพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญของไทย 4 องค์ คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร และพระพุทธรูปหลวงพ่อ วัดไร่ขิง
          เมื่อขึ้นไปที่ฐานพระเจดีย์ชั้น 4 จะมองเห็นทัศนียภาพเมืองนครสวรรค์ประมาณ 10 กิโลเมตร ทิศตะวันออกเห็นเขากบ บึงบอระเพ็ด ตลาดปากน้ำโพ ทิศใต้เห็นอุทยานสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ และเขาจอมคีรีนาคพรต ทิศตะวันตกเห็นภูเขาหลวง ทิศเหนือเห็นแม่น้ำปิง และทัศนียภาพที่สวยงาม
          เดิมวัดคีรีวงศ์เป็นวัดร้าง สร้างในสมัยปลายกรุงสุโขทัย ประมาณปลายกรุงสุโขทัย ศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อ 600 ปีที่แล้ว
          พ.ศ.2504 มีพระธุดงค์และประชาชนมาพบวัตถุโบราณ เช่น อิฐเก่า ใบเสมาเก่า ฐานอุโบสถเก่า สงสัยว่าจะเป็นวัดร้าง จึงแจ้งให้กรมการศาสนาทราบ และได้ร่วมกันสร้างกุฏิเล็กๆ 4-5 หลัง
          พ.ศ.2508 คณะสงฆ์อำเภอเมืองนครสวรรค์ พิจารณาเห็นว่าสถานที่นี้เป็นวัดมาก่อน มีเนื้อที่มากและสามารถพัฒนาให้เป็นวัดที่เจริญในอนาคตได้ แต่ขณะนั้นกำลังมีปัญหามากเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน จึงมีมติให้พระมหาบุญรอด ปญญาวโร ป.ธ.๕ ซึ่งจำพรรษาอยู่วัดนครสวรรค์ ให้มาดำเนินการสร้างวัดคีรีวงศ์ให้สำเร็จ
          พ.ศ.2511 กรมการศาสนา ได้ดำเนินการทางศาล เพื่อให้ศาลพิสูจน์ว่า เป็นที่วัดร้างจริงหรือไม่
          พ.ศ.2517 คดีชั้นฎีกา ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่ ซึ่งกรมการศาสนาสำรวจรังวัดไว้ เป็นที่ดินของวัดคีรีวงศ์ (ร้าง) หรือวัดบ่อกรุร้าง และทางจังหวัดชนะคดีชั้นศาลฎีกา โดยพิพากษาว่าเป็นที่สงวนของทางราชการ แต่วัดคีรีวงศ์ร้าง สร้างมาก่อนคำประกาศสงวน กรมการศาสนาจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินวัดคีรีวงศ์ (ร้าง)
          พ.ศ.2519 กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศยกวัดคีรีวงศ์ (ร้าง) เป็นวัดมีพระสงฆ์ ที่ดินจึงตกเป็นสมบัติของวัดคีรีวงศ์ (ร้าง)
          พ.ศ.2519 เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้แต่งตั้งพระมหาบุญรอด ปญญาวโร ป.ธ.๕ เจ้าคุณพระวิกรมมุนี ในปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดคีรีวงศ์
          วัดคีรีวงศ์ ยังมีการจัดบวชชีพราหมณ์ หรือบวชศีลจารินี มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2515 และจัดเป็นครั้งที่ 98 ในเดือนสิงหาคม วันที่ 20-24 สิงหาคม 2551
          การบวชศีลจารินี คือ การนุ่งขาวใส่ขาว รักษาศีล 8 รับประทานอาหารมังสวิรัติ  อบรมธรรมะและเจริญภาวนา 3 วัน หรือ 5 วัน
          พ.ศ.2534 และพ.ศ.2535 ได้รับประกาศเกียรติคุณจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง และวัดพัฒนาดีเด่น ตามลำดับ
          อีก 10 ปีต่อมา มีมติจากมหาเถรสมาคมเมื่อปีพ.ศ.2544 ตั้งให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครสวรรค์ แห่งที่ 1

          พระธาตุประจำปีเกิด
          เพื่อเป็นสิริมงคล ตามตำราทางภาคเหนือ กล่าวไว้ว่าในชีวิตของคนๆ หนึ่ง ถ้าได้มีโอกาสสักการะบูชาพระธาตุประจำปีเกิด ถือเป็นสิริมงคลกับขีวิตอย่างยิ่ง
          ผู้ที่เกิดปีจอ เมื่อได้ขึ้นมาถึงวัดคีรีวงศ์แล้ว ถ้าได้สักการะพระเกศแก้วจุฬามณี ที่วัดแห่งนี้ ก็ถือเป็นบุญหนึ่งของการเดินทาง

          คนส่วนใหญ่เที่ยววัด มีกิจกรรมไม่กี่เรื่อง จุดธูปเทียนไหว้พระ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เช่าวัตถุมงคล ลองหันมาเที่ยวแบบใส่ใจประวัติความเป็นมาของวัดกันบ้าง ถ้ามีเวลาไม่มาก แนะนำให้ถ่ายรูปประวัติของวัดด้วยกล้องดิจิตอล (สามารถขยายภาพได้) แล้วกลับมาอ่านที่บ้าน
          เที่ยวแบบนี้ได้บุญ แล้วยังได้ความรู้อีกด้วย

          ใครเที่ยวที่ไหนแล้วสนุก อยากแบ่งปันความสุข ส่งเรื่องมาเล่าที่ thaigoodview.ryo@gmail.com

                                                           จาก พี่นู๋"ซูชี๋"เองเจ้าค่ะ