มีสาระสำคัญที่ให้ประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง ๔ ประการ คือ
๑. คุ้มครอง ส่งเสริม ขยายสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชนอย่างเต็มที่
๒. ลดการผูกขาดอำนาจรัฐ และเพิ่มอำนาจประชาชน
๓. การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรม และจริยธรรม
๔. ทำให้องค์กรตรวจสอบมีความอิสระ เข้มแข็ง และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สาระโดยละเอียดมีดังนี้
๑. การคุ้มครอง ส่งเสริม และการขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
๑.๑ เพิ่มประเภทสิทธิและเสรีภาพให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมากกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ สิทธิและเสรีภาพที่เพิ่มขึ้น อาทิ
๒) ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง
๓) สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนได้รับการคุ้มครองอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่เพียงแต่ห้าม
ปิดกิจการสื่อมวลชนเท่านั้น ยังห้ามแทรกแซงสื่อมวลชนในการเสนอข่าวสาร รวมทั้งห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนด้วย เพื่อป้องกันการใช้สื่อสารมวลชนเพื่อประโยชน์ของตนเอง
๔) ประชาชนได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๒ ปีโดยเท่าเทียมกัน
๕) เด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัวได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นในการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ๖) บุคคลที่ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากรัฐเป็นครั้งแรก
๗) ขยายสิทธิชุมชน การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบ อย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวน การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน ชุมชนมีสิทธิที่จะฟ้อง องค์กรของรัฐ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิชุมชน
๘) ในการทำหนังสือสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อ ประชาชนรัฐจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน และต้องแก้ไข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการลงนามในหนังสือสัญญาอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม
๙) ให้สิทธิประชาชนเป็นครั้งแรก โดยกำหนดให้ประชาชน ๕๐,๐๐๐ คนเข้าชื่อเพื่อเสนอ ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
๑.๒ ทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพง่ายขึ้นกว่าเดิม
๑) สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองและคุ้มครองไว้ แม้ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมา รองรับประชาชนก็สามารถใช้สิทธิและเสรีภาพเหล่านั้นได้ทันทีโดยการร้องขอต่อศาล
๒) ลดจำนวนประชาชนในการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายจาก ๕๐,๐๐๐ ชื่อ เหลือเพียง ๑๐,๐๐๐ ชื่อ และถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจาก ๕๐,๐๐๐ ชื่อ เหลือเพียง ๒๐,๐๐๐ ชื่อ
๑.๓ ทำให้การใช้สิทธิเสรีภาพมีประสิทธิภาพและมีมาตรการคุ้มครองอย่างชัดเจน
๑) กำหนดระยะเวลาในการตรากฎหมายลูก เพื่อรองรับเรื่องต่างๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ได้ชัดเจน (ส่วนใหญ่ประมาณ ๑ ปี ไม่เกิน ๒ ปี)
๒) ประชาชนมีสิทธิฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ในกรณีที่กฎหมายมีบทญัตติที่มี การละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
๓) ชุมชนมีสิทธิฟ้องศาลได้ในกรณีที่ม ีการละเมิดสิทธิของชุมชน
๔) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟองศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองได้ ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
๑.๔ ทำให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมีความชัดเจนและผูกพันรัฐมากกว่าเดิม อีกทั้งปรับปรุงการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เหมาะสมขึ้น
๑) ปฏิรูประบบการบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคลากรมีฐานะเป็นข้าราชการเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน และให้มี คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมระดับท้องถิ่น
๒) ลดจำนวนประชาชนที่เข้าชื่อถอดถอนนักการเมืองและการเสนอร่าง ข้อบัญญัติท้องถิ่นรวมทั้งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานการดำเนินงาน ต่อประชาชนในเรื่องการจัดทำงบประมาณการใช้จ่าย และผลการดำเนินงานในรอบปี เพื่อประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกำกับดูแลการบริหารจัดการ ๒. ลดการผูกขาดอำนาจรัฐ และเพิ่มอำนาจประชาชน
๒.๑ เสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ประชาชน
๑) ให้ประชาชนและชุมชนมีอำนาจในการฟ้องร้องรัฐที่ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมได้
๒) ให้ประชาชนใช้สิทธิทางการเมืองได้ง่ายขึ้น เช่น การลดจำนวนประชาชนใน การเข้าชื่อถอดถอนนักการเมือง และการเสนอกฎหมาย ทั้งในระดับประเทศและ ในระดับท้องถิ่น
๒.๒ จำกัดการผูกขาดและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล
๑) นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน ๘ ปี
๒) การตราพระราชกำหนดของรัฐบาลจะต้องถูกตรวจสอบโดยเคร่งครัดจาก ศาลรัฐธรรมนูญมิใช่ตามอำเภอใจของรัฐบาลอีกต่อไป
๓) มีหมวดการเงิน การคลัง และงบประมาณขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อมิให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีวินัยการเงินและงบประมาณ และรายจ่าย งบกลางกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์และต้องแสดงเหตุผลและ ความจำเป็นด้วย
๔) กำหนดให้องค์กรอัยการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพื่อมีอิสระในการพิจารณา สั่งคดีและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม
๕) ห้ามควบรวมพรรคการเมืองในระหว่างที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สิ้น สุดลงเพื่อป้องกันการเกิดเสียงข้างมากอย่างผิดปกติในสภา
๒.๓ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอิสระจากการครอบงำของพรรคการเมือง เพื่อทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนได้อย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรมีอิสระจากมติพรรคการเมืองในการตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย และการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
๒.๔ ให้สมาชิกวุฒิสภาปลอดจากอิทธิพลของพรรคการเมืองอย่างแท้จริง
๒.๕ ห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาแทรกแซงข้าราชการประจำ
๓. ทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม (เติมสิ่งที่ขาดหาย ไปในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐)
๓.๑ บัญญัติหมวดคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและ เจ้าหน้าที่ของรัฐไว้อย่างชัดเจน มีการกำหนดโทษการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ที่ร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง
๓.๒ กำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง โดยกำหนด ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติซึ่งครอบคลุมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุ นิติภาวะด้วย
๓.๓ การแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีความเข้มข้น ขึ้นไปถึงทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่น การแสดงทรัพย์สิน และหนี้สินของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจะต้องเปิด เผยให้แก่สาธารณชนทราบ เช่นเดียวกับของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
๓.๔ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษก็พ้นจากตำแหน่ง
๓.๕ ห้ามประธานสภา รองประธานสภา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีดำเนินการใน ลักษณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
๑) ประธานสภาและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างดำรงแหน่งจะเป็นกรรมการบริหารหรือดำรงตำแหน่งจะเป็นกรรมการบริหารหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองมิได้
๒) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ห้ามมิให้ออกเสียงลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับการ ดำรงตำแหน่งการปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น ๔. ทำให้องค์กรตรวจสอบมีความอิสระ เข้มแข็ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๔.๑ ปรับปรุงระบบการสรรหาองค์กรตรวจสอบเพื่อให้มีความอิสระและเหมาะ สมกับบทบาทอำนาจหน้าที่ของแต่ละองค์กรอย่างแท้จริง
๔.๒ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่และระบบการทำงานขององค์กรตรวจสอบให้ดียิ่งขึ้น
๑) ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับฟัองโดยตรงในเรื่องที่ประชาชนถูกละเมิดสิทธิ และเสรีภาพได้
๒) ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใด จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือยื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ (จากเดิมที่ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ)
๓) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถหยิบยกเรื่องที่เกิดความเสียหายต่อประชาชนโดยรวมขึ้นพิจารณาได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการร้องเรียน (เปลี่ยนชื่อจากเดิมเรียกว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน”)
๔) ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียงเพียง ๑/๕ และเปิดอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลโดยใช้เสียงเพียง ๑/๖ นอกจากนี้แม้จะมีจำนวน ส.ส. ฝ่ายค้านไม่เพียงพอต่อการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว รัฐธรรมนูญก็ได้เปิดโอกาสให้ ส.ส. ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. ฝ่ายค้านทั้งหมด สามารถขอเปิดอภิปรายฯ ได้ เมื่อรัฐบาลได้บริหารประเทศมาเกินกว่าสองปีแล้ว
๔.๓ จัดให้มีระบบการตรวจสอบการทำงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
๑) การให้ใบเหลือง ใบแดง ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณี ส.ส./ส.ว.สามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ส่วนการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นยื่นต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค
๒) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
รัฐสภา
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นหลักในการจัดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดของรัฐและกำหนดความสัมพันธ์ ระหว่างอำนาจอธิปไตยภายใต้รูปแบบการปกครองเป็นระบบรัฐสภาโดยมีหลักสำคัญว่า "อำนาจอธิปไตย มาจากปวงชนชาวไทย" และ"พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข" ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติไว้ตรงกันให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมายควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินและการให้ความเห็นชอบในภารกิจสำคัญของประเทศ
ส่วนรัฐสภาจะมีสภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎร หรือมีสองสภา คือมีวุฒิสภาเพิ่มขึ้นมา อีกสภาหนึ่งและแต่ละสภาจะมีอำนาจหน้าที่และสัมพันธภาพระหว่างกันมากน้อยและ แตกต่างกันเพียงใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสอดคล้องของภาวการณ์บ้านเมืองที่ผันแปรเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย
รัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบับบัญญัติให้รัฐสภาประกอบไปด้วย 2 สภา คือวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา-ผู้แทนราษฎร ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2476 และดำเนินต่อมาเป็นระยะๆ จนถึงปัจจุบัน
ส่วนวุฒิสภาของไทยมีขึ้นเป็นครั้งแรกตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยบัญญัติว่ารัฐสภาประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทน วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทน (*รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 มาตรา ๑๒๑ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งจำนวนสองร้อยคน)
โครงสร้างและอำนาจหน้าที่
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหา-กษัตริย์เป็นประมุข โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ในการปกครองประเทศ ภายใต้รูปแบบการปกครองเป็นระบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติไว้ตรงกันให้ รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และการให้ความเห็นชอบในภารกิจสำคัญของประเทศ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 ได้กำหนดให้รัฐสภาเป็นสองสภา ประกอบไปด้วย วุฒิสภาซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง และสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎร
ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน คือ นายชัย ชิดชอบ
องค์ประกอบและที่มาของรัฐสภา
รัฐสภาของไทยส่วนใหญ่จะประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
สภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรถือว่าเป็นสภาที่มีความสำคัญยิ่งและถือว่าเป็นสภาหลักใน การปกครองระบบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญถือทุกฉบับยกเว้นธรรมนูญฯ พ.ศ. 2502 ธรรมนูญฯ พ.ศ. 2515 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519 และธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534 กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น และในบรรดารัฐธรรมนูญฯ ที่กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรนั้น มีเพียง 3ฉบับที่ให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่องค์กรนิติบัญญัติเพียงสภาเดียว คือธรรมนูญฯ 2475 รัฐธรรมนูญฯ 2475 และ รัฐธรรมนูญฯ 2495 โดยกำหนดให้มีสมาชิก 2 ประเภท คือ ประเภทแต่งตั้งและเลือกตั้ง มีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกัน สำหรับธรรมนูญ ฯ 2475 สมัยแรกกำหนดให้มา จากแต่งตั้งทั้งหมดส่วนรัฐธรรมนูญฯ ฉบับอื่น ๆ ล้วนกำหนดให้มีวุฒิสภาคู่กับ สภาผู้แทนราษฎร ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้สมาชิกมาจาก การเลือกตั้งทั้งหมด
ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบัน คือ นายชัย ชิดชอบ
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 คือ นายสามารถ แก้วมีชัย
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย
สร้างโดย:
อาจารย์ ธานินทร์ พร้อมสุข และ นางสาวอมรรัตน์ สมุทรประภูติ