ความขัดแย้งทางศาสนา
รายงาน
เรื่อง ความขัดแย้งทางศาสนา
เสนอ
อาจารย์ วัชรี กมลเสรีรัตน์
จัดทำโดย
นาย ธเนศ เรืองกลิ่น ม.5/3 เลขที่1
นาย สุรศักดิ์ ถุงจังหรีด ม.5/3 เลขที่4
นาย ณัฐชนน พูนธวัฒน์ ม.5/3 เลขที่5
นาย ณัณพงศ์ ช้างจันทร์ ม.5/3 เลขที่20
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำเพื่อให้ได้รู้จักความขัดแย้งทางศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวิชาสังคมเนื้อหาแบบสรุปย่อถ้าผิดพลาดประกานใด ก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
ความขัดแย้งทางศาสนา
ความขัดแย้งทางศาสนาเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นง่ายและรุนแรง เนื่องจากผู้นับถือ
ศาสนาแบบยึดมั่นถือมั่นจะเห็นว่าศาสนาหรือลัทธิที่ตนนับถือดีกว่าของผู้อื่นละไม่ยอมรับคนต่าง
ศาสนาต่างลัทธิ ทั้งนี้เพราะคนเหล่านั้นมีพื้นฐานความเชื่อต่างกันและตีความศาสนาไปตามความ
เชื่อของตน และวางรูปแบบการดำรงชีวิตแตกต่างกันออกไปตามที่ตนเชื่อถือ ซึ่งความยึดมั่นถือ
มั่นนี้เองทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ส่วนใหญ่ความขัดแย้งทางศาสนามักจะมีความรุนแรง
และพร้อมจะสละชีวิตเพื่อความยึดมั่นของตน ดังที่ปรากฏเป็นสงครามทางศาสนาหรือสงครามครู
เสดระหว่างชาวคริสตเตียนกับชาวอิสลามในสมัยโบราณ เป็นต้น ทั้งนี้ความขัดแย้งทางศาสนา
เกิดขึ้นได้ทั้งในศาสนาต่างศาสนาและศาสนาเดียวกัน ความขัดแย้งทางศาสนาที่สำคัญมีดังนี้
1. ความขัดแย้งระหว่างศาสนา ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งทางศาสนาในประเทศ
อินเดีย เป็นความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมจนแยกเป็นประเทศปากีสถานใน ค.ศ.
1947 ซึ่งเดิมปากีสถานรวมเป็นดินแดนเดียวกับอินเดียและอยู่ภายใต้การปกครองอังกฤษ และ
ก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราช ชาวมุสลิมในอินเดียก็ร่วมกันเรียกร้องที่จะแยกประเทศเนื่องจาก
ความแตกต่างระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางการเมืองที่ผู้นับถือ
ศาสนาอิสลามหรือชาวมุสลิมที่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู ทำให้ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่ม
น้อยของประเทศที่ได้รับสิทธิทางการเมืองน้อย หรือความแตกต่างทางศาสนาที่ชาวมุสลิมนับถือ
พระเจ้าองค์เดียว ส่วนชาวฮินดูนับถือพระเจ้าหลายองค์ รวมทั้งความแตกต่างทางสังคมที่ชาว
มุสลิมเชื่อว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่สังคมชาวฮินดูมีระบบวรรณะ เป็นต้น จากเหตุผลดัง
กล่าวปัญหาระหว่างชาวมุสลิมและชาวฮินดูก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงขั้นปะทะกันอย่างรุนแรง ในที่สุด
อังกฤษจึงให้เอกราชกับอินเดียและปากีสถานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1947 แต่ภายหลังจากมี
การจัดตั้งเป็นประเทศแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานก็ไม่ราบรื่นนัก ไม่ว่าจะเป็น
ปัญหาพรมแดน ปัญหาแคว้นแคชเมียร์ และการแข่งขันการสะสมและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อ
ข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดูในอินเดียก็ยังคง
ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
2. ความขัดแย้งภายในศาสนาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
1) ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมในประเทศปากีสถาน ที่นำไปสู่การแยกเป็น
ประเทศปากีสถานกับบังกลาเทศเมื่อ ค.ศ. 1971 โดยมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการที่หนึ่งมา
จากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แยกปากีสถานออกเป็น 2 ส่วน คือ ปากีสถานตะวันตกและปากีสถาน
ตะวันออก โดยมีอินเดียคั่นกลาง ส่วนอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ ความไม่พอใจในความไม่เท่า
เทียมกัน เนื่องจากประชากรในปากีสถานตะวันออกส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร
ทั้งหมดของประเทศปากีสถาน แต่รัฐบาลกลับให้ความสนใจในการพัฒนาปากีสถานตะวันตกมาก
กว่า ชาวปากีสถานตะวันออกจึงพยายามที่จะแยกตัวออกมา รัฐบาลปากีสถานจึงส่งกองทหารเข้า
ปราบปราม ทำให้ชาวปากีสถานตะวันออกหลบหนีไปอาศัยอยู่ในอินเดีย โดยที่รัฐบาลปากีสถาน
กล่าวโจมตีอินเดียว่าให้การสนับสนุนแก่ชาวปากีสถานตะวันออก อย่างไรก็ตาม ในที่สุดปากีสถาน
ตะวันออกก็สามารถแยกประเทศได้สำเร็จและจัดตั้งประเทศใหม่ในชื่อว่า บังกลาเทศ
2) ความขัดแย้งระหว่างอิรักและอิหร่าน มีสาเหตุสำคัญ ได้แก่
- ปัญหาเรื่องเขตแดน ได้แก่ การแย่งชิงสิทธิเหนือร่องน้ำอัล-อาหรับซึ่งเป็น
เขดแดนตอนใต้ระหว่างอิรัก-อิหร่าน และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ คือ เป็นที่ตั้งท่าเรือที่ใหญ่
ที่สุดและสถานีส่งน้ำมันที่สำคัญ รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำมันของอิหร่านด้วย
- ปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยชาวเขาในอิรัก อิหร่าน และ
ซีเรีย ที่ได้พยายามเรียกร้องการปกครองตนเองมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะในอิรักที่มีชาว
เคิร์ดอาศัยอยู่จำนวนมาก ที่มีความแตกต่างจากอิรักทั้งเชื้อชาติและศาสนาแม้จะเป็นมุสลิม
เหมือนกันแต่ก็นับถือกันคนละนิกาย โดยชาวอิรักนับถือนิกายชีอะห์ ส่วนชาวเคิร์ดนับถือนิกาย
สุหนี่ ทั้งนี้ชาวเคิร์ดมักใช้วิธีการก่อจราจลและการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธโดยได้รับการสนับสนุนจาก
อิหร่าน ซึ่งทางอิรักก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง
- ความขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศ ภายหลังที่อิหร่านโค่นล้มสถาบันกษัตริย์และ
เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐอิสลาม ที่มีอยาโตลลาห์ โคไมนี เป็นผู้นำประเทศอิหร่าน และ
นำหลักศาสนาอิสลามมาใช้ในการปกครองประเทศ หลายประเทศในตะวันออกกลางเกรงว่า
อิหร่านจะเผยแพร่แนวคิดรัฐอิสลามไปยังประเทศของตนและอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการ
เมือง ทำให้อิรักที่มีพรมแดนติดกับอิหร่านและมีความขัดแย้งกันมานานแล้วยิ่งทวีความรุนแรง
มากขึ้น โดยโคไมนีพยายามเรียกร้องให้ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีจำนวนร้อยละ 65 ของชาวอิรัก
ทำการโค่นล้มรัฐบาลประธานารธิบดีซัดดัม อุสเซน ซึ่งเป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่พยายามจะ
ขยายอำนาจเข้ามาในอิหร่าน จากความขัดแย้งของทั้งสองประเทศส่งผลให้เกิดการปะทะกันตาม
พรมแดนและทวีความรุนแรงมากขึ้น กลายเป็นสงครามยืดเยื้อ เนื่องจากอิรักได้รับการสนับสนุน
อาวุธจากสหรัฐอเมริกา ส่วนอิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย จนกระทั่งองค์การ
สหประชาชาติและประเทศที่เป็นกลางพยายามเจรจาและยุติสงครามใน ค.ศ. 1988