เยื่อบุผิวมดลูกงอกผิดที่
ผู้หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรง หรือเริ่มปวดครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า ๒๕ ปีขึ้นไป อาจมีความผิดปกติของมดลูกหรือเนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกราน สาเหตุที่พบบ่อยอันหนึ่งก็คือเยื่อบุผิวมดลูกงอกผิดที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมีบุตรยาก ควรคิดถึงสาเหตุข้อนี้เป็นอันดับแรกๆ
สาเหตุ เยื่อบุผิวมดลูกปกติจะอยู่บนผิวภายในโพรงมดลูก
ซึ่งจะงอกหนาและมีเลือดคั่ง แล้วสลายตัวเป็นเลือดประจำเดือน เป็นวงจรตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศทุกเดือน
ผู้หญิงบางคนจะมีเยื่อบุผิวมดลูกบางส่วนงอกอยู่นอกโพรงมดลูก เช่น ไปอยู่ในผนังกล้ามเนื้อมดลูกหรือในรังไข่
ท่อรังไข่ ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ หรือตามเนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกราน
สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากมีเยื่อบุผิวมดลูกที่ปนอยู่ในเลือดประจำเดือนไหลย้อน ผ่านท่อรังไข่เข้าไปฝังตัวอยู่ตามที่ต่างๆ
ภายในช่องท้องโดยที่กลไกภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยบกพร่องไม่สามารถขจัดเนื้อ เยื่อแปลกปลอมพวกนี้ออกไป
บ้างก็สันนิษฐานว่า เซลล์ของเยื่อบุภายในช่องท้อง เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เหมือนเยื่อบุผิวมดลูก
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงที่มีมารดาหรือพี่น้องเป็นโรคนี้ มีโอกาสเป็นเยื่อบุผิวมดลูกงอกผิดที่มากกว่าผู้หญิง
ทั่วไปถึง ๖ เท่า จึงเชื่อว่าโรคนี้อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรม เยื่อบุผิวมดลูกที่งอกผิดที่เหล่านี้
มีลักษณะการเปลี่ยนแปลง (หนาตัว มีเลือดคั่ง และเลือดออก) เป็นวงจรทุกเดือนเช่นเดียวกับเยื่อบุผิวส่วนที่อยู่ภายในโพรงมดลูก
แต่เนื่องจากมันฝังอยู่ในเนื้อเยื่อ เลือดที่ออกจึงคั่งอยู่ภายใน และเกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อโดยรอบจนเกิดเป็นพังผืดดึงรั้งอยู่ภายใน
ช่องท้องทำให้เกิดอาการปวดท้องเรื้อรัง ในกรณีที่เป็นเยื่อบุผิวมดลูกงอกที่เยื่อหุ้มรังไข่
มักจะกลายเป็นถุงน้ำหรือซิสต์ (cyst) ขนาดเท่าไข่ไก่หรือผลส้มที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างใน นานๆ เข้าเลือดเหล่านี้กลายเป็นสีเข้มคล้ายช็อกโกแลต
จึงเรียกว่า "ถุงน้ำช็อกโกแลต" (chocolate cyst)ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรงได้
หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น หรือมาปรึกษาปัญหามีบุตรยาก บางคนอาจมีอาการปวดประจำเดือน
ซึ่งจะเป็นรุนแรงในช่วงวันท้ายๆ ของประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนอาจเกิดขึ้นเมื่ออายุมากกว่า ๒๕ ปี โดยก่อนหน้านี้ไม่มีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน
บางคนอาจมีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ หรือกะปริดกะปรอย บางคนอาจมีอาการเจ็บปวดขณะหรือหลังร่วมเพศ
ในรายที่มีเยื่อบุผิวมดลูกงอกที่ลำไส้ใหญ่ จะมีอาการเจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ หรือถ่ายเป็นเลือดขณะมีประจำเดือน
ในรายที่มีเยื่อบุผิวมดลูกงอกที่กระเพาะปัสสาวะจะมีอาการเจ็บปวดขณะถ่าย ปัสสาวะ
ในรายที่เป็นถุงน้ำช็อกโกแลต ถ้าเกิดการแตกของถุงน้ำจะมีอาการปวดท้องรุนแรงได้
ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีประวัติว่ายังไม่เคยมีบุตรมาก่อน
หรือเริ่มปวดครั้งแรกหลังอายุ ๒๕ ปี มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง หรือมีอาการอื่นๆ
ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ หรือมีบุตรยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด
เมื่อตรวจพบว่า เป็นโรคนี้ ขอให้สบายใจได้ว่า
เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง ซึ่งมีทางเยียวยาให้ทุเลาหรือหายได้
และควรปฏิบัติตัวดังนี้
๒. กินยาบรรเทาปวด หรือยาที่แพทย์สั่ง
๓. ออกกำลังกายเป็นประจำ
อาจช่วยลดอาการปวดได้
แพทย์จะให้การรักษาโดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรค ดังนี้
(tra-madol) เป็นต้น กินเป็นครั้งคราวเวลาปวด และนัดมาติดตามดูอาการเป็นระยะๆ
ยาโพรเจสเตอโรน ดานาซอล (danazol) เป็นต้น นานอย่างน้อย
๖ เดือน เพื่อลดการปวด และปรับดุลฮอร์โมนในร่างกายซึ่งอาจช่วยให้มีบุตรได้
หรือต้องการมีบุตร หรือใช้ยาบำบัดไม่ได้ผล แพทย์ก็อาจรักษาด้วยการผ่าตัด ในปัจจุบันจะใช้วิธีสอดกล้องเข้าไปในช่องท้อง
และทำการผ่าตัดผ่านกล้องที่สอด ในรายที่เป็นมากอาจผ่าตัดเปิดช่องท้องแบบวิธีดั้งเดิม
การผ่าตัดมีวิธีการหลากหลายขึ้นกับลักษณะของโรคที่พบ เช่น ตัดเอาถุงน้ำ (cyst) ออกไป เลาะพังผืดที่ติดรั้ง
เป็นต้น ในรายที่อายุมากหรือไม่ต้องการมีบุตรแล้ว แพทย์อาจทำการผ่าตัดมดลูก และรังไข่
๒ ข้างออกไป จะช่วยให้อาการปวดหายไปได้ หลังผ่าตัดอาจจำเป็นต้องกินฮอร์โมนทดแทนไปสักระยะหนึ่ง
การผสมเทียม (เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว หรือการทำกิฟต์)
การผ่าตัดแก้ไขพยาธิสภาพ ในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น วิธีการบำบัดเหล่านี้มักจะช่วยให้ผู้ป่วยมีบุตรได้
ส่วนโอกาสมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค
ภาวะ แทรกซ้อนที่พบบ่อยก็คือ ภาวะมีบุตรยาก หรือเป็นหมัน
ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของ ผู้ที่เป็นโรคนี้
สาเหตุสันนิษฐานว่ามีได้หลายอย่าง เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้าก้อนของเยื่อบุผิวมดลูกโตมากก็อาจ
ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของลำไส้ หรือทางเดินปัสสาวะได้ทำให้มีอาการขับถ่ายลำบาก
การดำเนินโรค ถ้าไม่ได้รับการรักษา ก็จะมีอาการปวดท้อง
เรื้อรัง (โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงตามมา) บางคนอาจทุเลาหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
(วัยทอง) การรักษาจะช่วยให้อาการทุเลาหรือหายขาดได้ และช่วยให้มีบุตรได้ แต่บางคนหลังผ่าตัดมดลูกแล้วก็ยังอาจมีอาการกำเริบก็ได้
จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะหาทางป้องกันอย่างไร สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ สามารถป้องกันการเกิดอาการกำเริบได้
โดยการกินยาคุมกำเนิด การออกกำลังกาย และการทำให้เกิดการตั้งครรภ์ (การตั้งครรภ์จะป้องกันไม่ให้อาการกำเริบหรือลดความรุนแรงของอาการได้)
ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยหมดประจำเดือน แต่จะพบมากในช่วงอายุ
๒๕-๓๕ ปี พบได้ประมาณร้อยละ ๓๕ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก หรือเป็นหมัน ผู้ที่มีมารดาหรือพี่น้องเป็นเยื่อบุผิวมดลูกงอกผิดที่มีโอกาสเป็นโรคนี้มาก
เป็น ๖ เท่าของผู้ที่ไม่มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว