มดลูกตกหลุมอากาศ
อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์ฉบับที่ผ่านมาได้กล่าวถึงความเจ็บป่วยจากการทำงาน
หลากหลาย ด้วยหวังให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่าความเจ็บป่วยเหล่านั้นอยู่ใกล้ตัวผู้
ประกอบเวชปฏิบัติและไม่ยากนักที่จะค้นหาสาเหตุ
เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้องให้กับผู้ป่วย รวมทั้งทำการป้องกันอาการเจ็บป่วยให้กับเพื่อนร่วมงานของผู้ป่วย.
ไม่ นานมานี้ ผู้เขียนได้รับฟังเรื่องราวจากแพทย์อาชีวเวชศาสตร์รุ่นน้อง 2 คนซึ่งทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษาสถานประกอบการ 2 แห่ง เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของพนักงาน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ
ไม่น้อยกว่าเรื่องราวของผู้ป่วยที่ได้นำเสนอไปแล้ว จึงจะขอนำเสนอในฉบับนี้ต่อไป.
กรณีแรก :
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
"นาง สาวสุดสวย" เป็นพนักงานแผนกผลิตในโรงงานแห่งหนึ่ง
เธอทำหน้าที่บรรจุก้อนสบู่ที่เลื่อนไหลมาตามสายพานลงลังกระดาษ
เนื่องจากต้องทำงานเป็นทีมและทำยอดการบรรจุตามเป้าที่กำหนดไว้ในแต่ละ ชั่วโมง
ทำให้เธอต้องกลั้นปัสสาวะตั้งแต่เข้ากะทำงานไปจนถึงเวลาพักกินข้าวอยู่เสมอ. ช่วง 2
สัปดาห์ที่ผ่านมา
รู้สึกปวดแสบบริเวณท้องน้อยและช่องคลอดเวลาปัสสาวะต้องเบ่งเพื่อให้ปัสสาวะ ได้
ซึ่งทำให้เจ็บมากขึ้น และต้องปัสสาวะบ่อย จนเริ่มมีปัญหากับทีมงาน
เพราะต้องลุกไปปัสสาวะหลายครั้งในขณะทำงาน เธอจึงไปพบแพทย์ที่ห้องพยาบาล.
แพทย์สรุปว่าสุดสวยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและให้ยาไปรับประทาน.
ในวันที่แพทย์นัดตรวจติดตามอาการ
สุดสวยขอใบรับรองแพทย์เพื่อรับรองว่าเธอป่วยจากการทำงาน.
กรณีที่สอง :
มดลูกอักเสบ
"นาง สาวภูริดา"
เป็นพนักงานต้อนรับประจำสายการบินแห่งหนึ่ง. ประมาณ 1 เดือนที่แล้ว
เครื่องบินลำที่เธอกำลังปฏิบัติงานอยู่เกิดตกหลุมอากาศอย่างรุนแรง
ทำให้เธอล้มกระแทกพื้น
เธอรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายบ้างแต่ไม่มีอาการรุนแรงหรืออาการอื่นๆ. ในเวลาอีก 2
สัปดาห์ต่อมา เธอปวดท้องน้อยมาก มีไข้และมีตกขาวผิดปกติ
ไปพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมดลูกอักเสบ. แพทย์ให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา
5 วันจนอาการดีขึ้น
วันนี้เธอยื่นเรื่องเพื่อขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากบริษัท
โดยอ้างว่าเธอป่วยจากการทำงาน.
การ วินิจฉัยโรคทั่วไป
อาศัยความรู้ความชำนาญของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
แต่โรคบางชนิดต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ
เพื่อทำการวินิจฉัย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการปวดศีรษะไม่ทราบสาเหตุ.
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปอาจสามารถวินิจฉัยได้เบื้องต้นว่าผู้ป่วยมีเนื้องอกใน สมอง
แต่การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายว่าเป็นเนื้องอกชนิดใด จะให้การรักษาอย่างไร ต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางอีกหลายสาขามาร่วมทำการวินิจฉัยโรค.
อย่าง ไรก็ตาม
ยังมีโรคอีกกลุ่มหนึ่งที่ถ้าหากแพทย์สนใจจะสามารถระบุสาเหตุได้ว่าเกิดจาก การทำงาน
ซึ่งแพทย์ที่จะทำการวินิจฉัยได้นี้
อาจเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ.
สำหรับกรณีที่ความเจ็บป่วยค่อนข้างชัดเจนว่าเกิดจากการทำงาน เช่น
กรณีเครื่องจักรตัดนิ้วขาด โรคหอบหืดจากการสัมผัสฝุ่น แต่ในบางครั้ง
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ
ก็ต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางสาขาอาชีวเวชศาสตร์1ซึ่งผ่านการฝึกอบรมให้ทำการสืบค้นข้อมูล
เพื่อวิเคราะห์ว่าการทำงานเป็นสาเหตุหรือ "เกี่ยวเนื่อง" กับ การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นหรือไม่. ทั้งนี้
ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยคือ ประวัติการทำงานจนถึงปัจจุบันของผู้ป่วย
และข้อมูลสภาพแวดล้อมการทำงาน
โดยที่ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นต้องมีความเป็นไปได้ทางชีววิทยาและพิษวิทยา รวมทั้งสอดคล้องด้านระยะเวลากับสิ่งก่อโรคที่พบในที่ทำงาน
(ถ้าตรวจได้) หรือสภาพการทำงาน.
สาเหตุที่สำคัญ
อันหนึ่งที่ทำให้แพทย์ไม่ว่าสาขาอาชีวเวชศาสตร์เองหรือสาขาอื่นๆ ไม่สามารถวินิจฉัย
ว่าความเจ็บป่วยเกิดขึ้นจากการทำงานหรือไม่ เป็นเพราะโรคจากการทำงานมี "พิสัย" ของความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุกับความเจ็บป่วย
ดังเช่นที่ระบุไว้ในเอกสารขององค์การอนามัยโลก (1) ว่า
โรคจากการทำงาน (occupational disease) อยู่สุดทางด้านหนึ่งของพิสัย
โดยเป็นโรคที่ "เกี่ยวเนื่อง" กับ การทำงาน (work-related
disease) ซึ่งสามารถระบุได้ชัดเจนว่าสิ่งก่อโรคคืออะไร
สามารถวัดปริมาณสิ่งก่อโรคได้ และทำให้สามารถควบคุมป้องกันโรคได้.
ขณะที่สุดทางอีกด้านหนึ่งของพิสัย เป็นกลุ่มของความเจ็บป่วยที่น่าจะ "เกี่ยวเนื่อง"
กับ การทำงาน
แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องจริงกับสาเหตุ เช่น
ปริมาณสารเคมีที่ผู้ป่วยสัมผัสน้อยมากเกินกว่าจะก่อโรคได้
พนักงานที่ทำงานแผนกเดียวกันไม่มีใครป่วยนอกจากผู้ป่วย
หรือผู้ป่วยสัมผัสสิ่งก่อโรคหลายอย่างทั้งในขณะทำงานและจากชีวิตประจำวันจน
แยกได้ยากว่าเกิดจากอะไรเป็นสาเหตุหลัก.
หากพิจารณาในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง คำวินิจฉัยของแพทย์ว่าไม่ใช่การเจ็บป่วยจากการทำงานสำหรับพนักงานหญิง
2 คนนี้ อาจทำให้นายจ้างไม่ยอมปรับสภาพแวดล้อมการทำ
งานเพื่อป้องกันโรค หรือลูกจ้างที่อยากได้ผลประโยชน์มาก
ได้รับผลประโยชน์จากการเจ็บป่วยน้อยเกินไป. ขณะเดียวกัน
นายจ้างหลายคนอาจขอบคุณที่แพทย์ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกินจริงของบริษัท
หรือลูกจ้างขอบคุณที่แพทย์ทำให้เขาได้ทำงานที่ถนัดต่อไป
ไม่ต้องย้ายงานเพราะความเจ็บป่วย
ซึ่งแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ต้องพิจารณาผลประโยชน์ของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เหล่านี้
รวมทั้งศักดิ์ศรีและจรรยาบรรณวิชาชีพ ก่อนให้คำตัดสินสุดท้าย