อารธรรมเมโสโปเตเมีย
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ประมาณ 3200-2800 ปีก่อนคริสตกาล พวกสุเมเรียนตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ซูเมอร์ (Sumer ) ทางใต้ของเมโสโปเตเมีย (ดินแดนระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส) ปัจจุบันเมโสโปเตเมีย-ซูเมอร์อยู่ในประเทศอิรัก
ประวัติอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เมื่อ 2000 ปีก่อนคริสตศักราช จักรวรรดิอัสซีเรียตอนต้น (1800-1375 ปีก่อนคริสตศักราช) เมื่อประมาณ 2500 ปีก่อนค.ศ. พวกอัสซีเรียอาศัยอยู่แถวแม่น้ำไทเกอร์ตอนบน ลักษณะนิสัยเป็นนักรบ เข้มแข็งอดทน ต้นเนิดมาจากชนพื้นเมืองหลายเผ่าผสมกัน (นอกจากพวกสุเมเรียน) กับพวกเซมิติคอารยธรรมของพวกเขารับมาจากทางใต้ ชื่อ จักรวรรดิอัสซีเรีย และเมืองอัสสู มาจากชื่อเทพเจ้าอัสส(Assour = เทพเจ้าอันสูงสุด) หลังจากที่ราชวงศ์ที่ 3 ของเมืองเออร์ล่มสลาย อัสซีเรียได้รับชัยชนะตั้งเมืองอัสสูและครองบาบิโลเนียทางตอนเหนือ (ราว 1800 ปีก่อนค.ศ.) เมื่อพวกฮิตไทท์เข้ามารุกราน ขัดขวางการค้ากับทางเหนือและทางตะวันตกเฉียงเหนือทำให้ประชาชนมีรายได้น้อยลง จักรวรรดิอัสซีเรียจึงเสื่อมอำนาจ คนต่างชาติถือโอกาสเข้ามาครองเมือง คือพระเจ้านาราม-ซิน แห่งเอชนุนนา (กฎหมายของพระองค์มีชื่อมาก)แต่ พระเจ้าชามชิ-อาดัดที่ 1 (1749-1717 ปีก่อนค.ศ.) นำราชบัลลังก์มาคืนได้ ราชอาณาจักรของพระองค์กว้างขยายไปยังดินแดนที่เป็นภูเขาทั้งหมด ส่วนหนึ่งของเมโสโปเตเมียและราชอาณาจักรมารี ทรงสร้างและรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ พระราชโอรสของพระองค์ชื่อ อิชเม-ดากาน ที่ 1 พ่ายแพ้ต่อพระจ้าริม-สิน แห่งลาร์ซา และภายหลังตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลเนีย ประวัติของจักรวรรดิอัสซีเรียก่อน 1450 ปีก่อนค.ศ.ไม่ค่อยมีผู้ศึกษามากนัก ครั้งสุดท้ายอัสซีเรียกลายเป็นรัฐหนึ่งที่ขึ้นกับอาณาจักรมิตานนี(ในอิรักปัจจุบัน) นครรัฐบาบิโลน 1728-1686 พระเจ้าฮัมมูราบี แห่งเมืองบาบิโลน ตอนพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์นั้นมีนครรัฐ 6 รัฐ กำลังทำสงครามกัน คือ ลาร์ซา เอชนุนนา บาบิโลน กาทนา จามซาด (เอเลปปัจจุบัน )และอัสสู นครรัฐลาร์ซา มารี และบาบิโลนนั้นร่วมกันทำสงครามต่อต้านนครรัฐเอชนุนนา อีลาม พวกชาวเขาและนครรัฐอัสสูมาเป็นเวลา 15 ปี เมื่อพระเจ้าฮัมมูราบีได้รับชัยชนะเหนือนครรัฐเพื่อนบ้านแล้ว จึงเกลี้ยกล่อมพระเจ้าริม-สิน แห่งลาร์ซา และ ซิมริลิมแห่งมารีให้เป็นพวกของพระองค์ พระเจ้าซิมริลิมพระองค์นี้เอง ที่เป็นผู้ก่อสร้างพระราชวังที่มีชื่อเสียงที่เมืองมารี ณ ที่นี้นักโบราณคดีขุดพบแผ่นดินเหนียวเล่าเรื่องราวต่างๆ ถึง 20,000 แผ่น ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญมาก กฎหมายฮัมมูราบี บอกให้เราทราบถึงความห่วงใยที่พระเจ้าฮัมมูราบีมีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองของพระองค์ กฎหมายนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของการกำหนดโทษผู้กระทำผิดการลงโทษสมัยนี้มีการโบยด้วยแซ่ตัดสินประหารชีวิต (แทงด้วยของแหลม เผาไฟ ถ่วงน้ำ) ภาษาราชการใน บาบิโลน คือภาษาอัคคาเดียน รับอิทธิพลทางวรรณคดีจากเมโสโปเตเมีย เทพเจ้าที่สำคัญมีมาร์ดุคแห่งบาบิโลน เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ชามาช เทพแห่งความรักอิชทาร์ กษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าฮัมมูราบีเสียดินแดนทางใต้ และทำสงครามกับพวกคาสไซท์และฮูไรท์หลายครั้ง 1531 พระเจ้ามูร์ซิลที่ 1 ของพวกฮิตไทท์ปล้นและเผาบาบิโลน (1530-1160 สมัยคาสไซท์ ชาวอิหร่าน ) 1160 เมืองบาบิโลนถูกปล้นอีกครั้ง และอำนาจของพวกคาสไซท์ก็หมดลงเพราะแพ้ต่อพวกอีลาม (ที่ 13)จาก 1137 ปีก่อนค.ศ.เป็นต้นมา บาบิโลนรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งสมัยพระเจ้านาบุโคโดโนซอร์ที่ 1(ราชวงศ์ที่ 4 ของบาบิโลน) ทรงปลดปล่อยบาบิโลนจากพวกอีลาม และทรงตั้งอาณาจักรใหม่ หลังรัชกาลของพระองค์ บาบิโลนก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอัสซีเรียอีก พวกฮูไรท์
ดินแดนเมโสโปเตเมียตอนเหนือ ได้รับการรุกรานจากพวกฮูไรท์ที่มาจากแถวทะเลสาบแวน พวกนี้รุกรานต่อไปในอัสซีเรีย เมโสโปเตเมียทั้งหมด ตุรกี ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ ทุกแห่งที่พวกฮูไรท์เข้าไปอยู่ จะไปในลักษณะชนชั้นเหนือกว่าผู้อื่น (Marjanni = นักรบ ; ภาษาอินเดียว่า มารจา = อัศวินหนุ่ม) เป็นเจ้าที่ดิน และที่ดินถือเป็นมรดกสืบสกุล แต่เจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ยกให้ใครก็ได้ตามใจชอบ พวกนักรบฮูไรท์ใช้รถเทียมม้าอันเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง ด้านศาสนา เทพเจ้าที่สำคัญ คือ เตชุม (เทพเจ้าแห่งดินฟ้าอากาศ) เซปาท (เทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์)และคูมาร์บิ (บิดาแห่งเทพทั้งหลาย) แต่ชนอารยันชั้นสูงบูชาเทพเจ้าอินเดีย คือ พระอินทร์ มิตรา และวรุณ ด้านศิลปะ แผ่นหินสลักภาพนูนต่ำเรียงเป็นแถว และการสร้างบ้านตามยาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า จักรวรรดิอัสซีเรียตอนกลาง (1375-1047 ปีก่อนคริสตศักราช)
1390-1364 กษัตริย์อัสซีเรีย เอริบา-อาดาด สมทบกับพวกฮิตไทท์ รุกรานอาณาจักรมิตานนี ภายหลังเกิดสงครามครั้งใหญ่เป็นโอกาสให้พวกอาร์เมเนียเข้ามาโจมตี อาณาจักรฮิตไทท์ ล่มสลายลง อำนาจของอัสซีเรียเสื่อม1112-1074 พระเจ้าเตกลาธฟาลาซาร์ที่ 1 เป็นผู้นำอำนาจอัสซีเรียกลับมาเหมือนเดิม จากนั้นทำสงครามขยายดินแดนขึ้นไปทางเหนือ ซีเรียต้องส่งส่วยให้อัสซีเรีย กษัตริย์องค์ต่อมาทำสงครามกับพวกอาร์เมเนีย เทคนิคการทำสงครามรถรบอยู่ตรงกลางพลเดินเท้าและกองเสบียงสวมเกราะ ถือโล่ห์อยู่ตรงปีกซ้ายขวา มีการใช้เหล็กเมื่อประมาณ 1200 ปีก่อนค.ศ. ช่างตีเหล็กทำอาวุธของพวกฮิตไทท์เดินทางไปในกองทัพด้วย พวกฮิตไทท์เป็นเจ้าของดินแดนที่มีแร่เหล็กมากกฎหมายและการลงโทษ ตัดหรือเจาะหู ตัดริมฝีปากและนิ้ว ตัดอวัยวะเพศชาย ยางมะตอยราดหน้าให้เสียโฉม
ด้านเศรษฐกิจ การค้าแบ่งระหว่างวัด กษัตริย์ และขุนนาง การเกษตรกรรมรุ่งเรืองมาก มีการพัฒนาเทคนิคการไถนา ประวัติอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เมื่อ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช จักรวรรดิอัสซีเรียตอนปลาย (883-612 ปีก่อนคริสตศักราช)พระเจ้าอัสสูร์นาซิปาลที่ 2 ขึ้นครองราชบัลลังก์ (883-859 ปีกอ่นค.ศ.) พระองค์ได้ชื่อว่า เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหดที่สุดของอัสซีเรีย ทรงขยายอาณาเขตไปกว้างไกลด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้าน ทรงนำวิธีการทำสงครามแบบใช้กองทัพม้า เป็นครั้งแรก ทรงมีวิธีที่เหี้ยมโหด ในการทำให้คนยอมรับพระองค์ คือ การทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ หรือไม่ก็ฆ่าเสียให้ หมดสิ้น เมืองหลวงย้ายจากอัสซีเรียมาที่กาลาห์(เหนือเมืองอัสสู) ซึ่งพระองค์ก็ทรงสร้างพระราชวัง และนำเชลยสงครามมาไว้ที่นี่ โอรสของพระองค์ คือ พระเจ้าซาลมานาสาร์ที่ 3 (858-824 ปีก่อนค.ศ.) ทรงสนพระทัยซีเรียและปาเลสไตน์เพราะต้องการควบคุมเส้นทางการค้าจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสมายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทรงโจมตีเมืองดามัส(เมืองหลวงของซีเรียปัจจุบัน) แต่ไม่สำเร็จ ขณะนั้นที่เมืองนี้มีชาวอาร์เมเนียอยู่มาก ตอนนี้เองที่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงพวกมีดส์และพวกเปอร์เซีย (835 ปีก่อนค.ศ.) ปลายสมัยของพระองค์ ซามสิ-อาดัด ผู้เป็นโอรส ก่อ กบฎ แต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก บาบิโลเนียจึงทำการสำเร็จ และขึ้นเป็นกษัตริย์ซามสิ-อาดัดที่ 5 และจากการช่วยเหลือนี้เองที่ทำให้อัสซีเรียต่อต้านพวกมีดส์ที่เข้ามารุกรานไว้ได้ ตอนนั้นพวกมีดส์ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ แถวทะเลสาบอูร์เมีย (ปัจจุบันอยู่ในอิหร่านตอนเหนือใกล้ทะเลสาบวาน) 810-806 ปีก่อนค.ศ.พระเจ้าเซริรามิส (ซามมูรามาท) ครองราชย์ทรงมีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ กษัตริย์ต่อจากพระองค์ทำสงครามกับพวกบาบิโลเนีย พวกมีดส์และโดยเฉพาะกับพวกอาณาจักรอูราตู(ที่ทะเลสาบวาน ปัจจุบันอยู่ในตุรกีตะวันตก)745-724ปีก่อนค.ศ.พระเจ้าเตกลาธฟาลาซาร์ ที่ 3 ทรงตั้งอาณาจักรอัสซีเรียอันยิ่งใหญ่ปราบเจ้าครองนครรัฐต่างๆและทรงทำอาณาจักรให้เข้มแข็ง ทรงได้ชัยชนะเหนือพระเจ้าซาร์ดูร์ที่ 2 แห่งอูราตู และ รุกรานซีเรียตอนเหนือ ดามัส และกาซา พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ของบาบิโลนภายใต้พระนามว่าพระเจ้าปลูกษัตริย์ต่อจากพระองค์ คือ พระเจ้าซาลมานาสาร์ที่ 5 ทรงไม่ลงรอยกับพวกพระ จึงถูกลอบปลงพระชนม์ที่ซามารี(เหนือเยรูซาเล็ม) 772-705 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้าซาร์กอนที่ 2 (Sharroukin = กษัตริย์ผู้ทรงธรรม) ทรงฟื้นฟูด้านศาสนาและให้พวกพระมีอภิสิทธิ์เหมือนเดิมเช่นเดียวกับเชื้อพระวงศ์ ทรงชนะพวกนครรัฐของฮิตไทท์ ได้ครองอูราตู ทำสงครามกับพวกมีดส์ ขยายอำนาจเหนือบาบิโลน ชนะต่ออียิปต์ที่ เมืองราเฟีย (เมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่บนคาบสมุทรซีนาย) ทรงสร้างเมืองหลวง ที่ ดูร์-ซาร์รูคิน (หรือ โฆร์สาบัด เหนือเมืองกาลาห์) โอรสของพระองค์ คือพระเจ้าเซนนาเซริม (704-618 ปีก่อนค.ศ.) เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจเด็ดขาด เมื่อ 701 ปีก่อน ค.ศ. ทรงทำให้แคว้นยูดา (เมืองหลวง คือ เยรูซาเล็ม) เข้ามาอยู่ในอำนาจ ทรงทำลาย บาบิโลน ทรงขยายเมืองนินิฟ ซึ่งเป็นเมืองแรกของนครรัฐของพระองค์ด้วยการเกณฑ์ทหารในกองทัพมาเป็นจำนวนมาก (สร้างกำแพง 2 ชั้น สูง 25 เมตร มีหอสังเกตการณ์ 15 หอ) มีการขุดคลองยาวถึง 50 กิโลเมตร เพื่อให้คนมีน้ำใช้ทั่วถึง มีสะพานส่งน้ำยาว 280 เมตร และกว้าง 22 เมตร ความที่ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มงวด จึงมีคนลอบปลงพระชนม์ โอรสองค์สุดท้องคือ พระเจ้าอัสสาร์ฮาดดอน (680-669 ปีก่อนค.ศ.) ขึ้นครองราชย์และทรงสร้าง บาบิโลนใหม่ ทรงทำสัมพันธไมตรีกับพวกซิธ (เชื้อสายเดียวกับพวกอิหร่าน)ขับไล่ ซิมเมเรียน (จากรัสเซียตอนใต้) ออกไปและรบชนะอียิปต์ได้ดินแดนจนถึงนูเบียนับเป็น สมัยที่อาณาจักรอัสซีเรียกว้างขวางที่สุด 668-626 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้าอัสสูร์บานิปาลทำลายเมืองธีบส์ของอียิปต์แต่เป็นเพราะอียิปต์อยู่ไกลมากจึงไม่อาจปกครองได้ ประกอบกับพระเชษฐาที่ครองบาบิโลนก่อกบฎโดยได้รับความร่วมมือจากศัตรูของอัสสูร์ 648 ปีก่อนค.ศ. ทรงยึดบาบิโลนไว้ในอำนาจ 639 ปีก่อนค.ศ. ทำลายซูส (อีลาม) ทรงสร้างหอสมุดใหญ่ที่นินิฟ (มีแผ่นดินเหนียวบันทึกถึง 22,000 แผ่น เป็นบทกวี วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา การแพทย์ ดาราศาสตร์ รายการสินค้าและบัญชี) ต่อมามีเรื่องไม่สงบในประเทศและพวกซีธเข้ามาบุกรุกทำให้บ้านเมืองเสื่อม พระเจ้าซียาซาร์แห่งมีเดีย (มีดส์) และพระเจ้านาโบโปลาสซาร์แห่งบาบิโลนยึดอำนาจและทำลายเมืองทุกเมืองของพวกอัสซีเรีย ประชากรถูกฆ่าตายหมดงานศิลปกรรม พระราชวังขนาดมหึมาพร้อมงานประติมากรรมตกแต่งที่ได้สัดส่วนกับขนาดของสถาปัตยกรรม มีที่เมืองนินิฟ กาลาห์ ดูร์-ซาร์รูคิน และอัสสูร์ (ภาพการล่าสัตว์ สงคราม และเทพเจ้า) ภาพเล่าเรื่องราวเป็นภาพประติมากรรมแบบนูนต่ำจักรวรรดิบาบิโลเนียตอนปลาย (625-539 ปีก่อนค.ศ.) พวกคาลเดี้ยนพยายามชนะบาบิโลเนีย จนสำเร็จหลังรัชกาลพระเจ้าอัสสูร์บานิปาล625-605 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้านาโบโปลาสซาร์ทรงเป็นกษัตริย์ครองบาบิโลน อีลาม
เมโสโปเตเมียตะวันตก ซีเรีย และปาเลสไตน์ 604-562 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้านาบุโคโดโนซอร์ที่ 2 ทรงเป็นนักการทูตที่ชาญฉลาด อาณาจักรของพระองค์รุ่งเรืองที่สุด ทรงขยายเมืองบาบิโลน สร้างถนนยาวหลายสาย สร้างประตูอิชทาร์ สร้างวัดอีสากิล สร้างพระราชวังที่งามที่สุด มีหอคอยเป็นชั้นๆ เรียกว่า อีเทเมนานกิ (หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อว่าหอบาเบล สูงถึง 90 เมตร) สมัยนี้ผู้มีอิทธิพลมีอำนาจเท่าเทียมกัน 598 ปีก่อนค.ศ. ทรงครองเยรูซาเล็มตามข้อตกลงระหว่างแคว้นยูดาและอียิปต์ ( ยิวอพยพออกจากประเทศเป็นครั้งแรก ) 587 ปีก่อน ค.ศ. ทำลายเยรูซาเล็ม ต่อจากนั้นบ้านเมืองเสื่อมเพราะกษัตริย์ขัดแย้งกับสาวกของพวกเทพเจ้ามาร์ดุก ฝ่ายหลังเลือกพระเจ้านาโบนิดให้เป็นกษัตริย์ (553-539 ปีก่อน ค.ศ.) ทรงได้ชื่อว่าเป็น " นักโบราณคดีบนบัลลังก์ " แต่ต่อมาไม่ลงรอยกับพวกพระทรงจำต้องออกจากบาบิโลนไป บาลธาซาร์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำหน้าที่แทนเป็นเวลา 10 ปี 539 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้าซิรุสที่ 2 แห่งเปอร์เซียยึดบาบิโลน บาบิโลนกลายเป็นเมืองหนึ่งของเปอร์เซีย 331 ปีก่อน ค.ศ.พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกยึดบาบิโลน บาบิโลน รับอารยธรรมกรีกเฮเลนิสติก
แหล่งอ้างอิง:
http://www.baanjomyut.com/library/civil/mesopote.html