ความรู้เกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอล
ใบความรู้ที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอล
ประวัติความเป็นมาของกีฬาบาสเกตบอล
กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาประเภททีม มีผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำลูกบาสเกตบอลไปโยนลงห่วงประตูของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด โดยมีทักษะการเล่น ได้แก่ การรับ-ส่งลูก การเลี้ยงลูกและการยิงประตู ซึ่งต้องประกอบการเล่นทั้งทักษะส่วนบุคคลและทีม ซึ่งจะกล่าวในรายละเดียดต่อไปนี้ กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาประจำชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มจาก ดร. เจมส์ เอ เนสมิทได้คิดขึ้นเพื่อเล่นในโรงพลศึกษาของโรงเรียนฝึกอบรมของสมาคมวายเอ็มซีเอนานาชาติ ที่เมื่องสปริงฟีลด์ มลรัฐแมสซาซูเซตส์ในช่วงที่มีหิมะตก เมื่อ คส 1891 โดยใช้ตระกร้าลูกพีช 2 ใบแขวนเป็นประตู จึงทำให้กีฬานี้ได้ชื่อว่า บาสเกตบอล การเล่นครั้งนั้นใช้ลูกฟุตบอลเป็นลูกบอล มีผู้เล่นทั้งหมด 18 คน แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 9 คน และตัวของ ดร.เนสมิท เป็นกรรมการ มีกฎการเล่น 4 ข้อ คือ1. ห้ามถือลูกเคลื่อนที่2. ห้ามมิให้ผู้เล่นปะทะตัวกัน3. ประตูอยู่ระดับศีรษะและขนานพื้น4. ผู้เล่นจะถือลูกบอลนานเท่าใดก็ได้ และผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะต้องไม่ถูกตัวผู้เล่นต่อมาได้มีการปรับปรุงกติกาการเล่น 13 ข้อและลดผู้เล่นเหลือฝ่ายละ 5คน จากในการเล่นเกิดการปะทะกันเพราะสนามแคบ ดั้งนั้นจึงทำให้เกมส์การเล่นสมบูรณืยิ่งขึ้นทั้งยังลดการปะทะกันอีกด้วย ในปัจจุบันกติกาการเล่นดังกล่าวยังคงปรากฎอยู่ ณ โรงพลศึกษาเมืองสปริงฟีลด์ คือ1. การโยนลูกจะใช้มือเดียวหรือสองมือโยนไปทางทิศใดก็ได้2. การตีลูกจะใช้มือเดียวหรือสองมือตีไปทิศทางใดก็ได้3. ผู้เล่นจะพาลูกบอลวิ่งไม่ได้ และต้องส่งตรงจุดรับลูกบอล ยกเว้นขณะที่วิ่งมารับลูกด้วยความเร็วให้เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย4. ต้องจับลูกบอลด้วยมือทั้งสองข้าง โดยไม่ให้ใช้ส่วนอื่นของร่างกาย5. การเล่นจะชน คือผลักหรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้ม ถือว่าฟาวล์หนึ่งครั้ง ถ้าฟาลว์ลครั้งที่สองให้ออกจากการแข่งขัน จนกว่าจะมีผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิงประตูได้จึงจะกลับมาเล่นได้อีก ถ้าเกิดการบาดเจ็บขนาดเล่นไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัว6. การทุบด้วยกำปั้นถือว่าผิดกติกาให้ปรับเช่นเดียวกับข้อที่ 57. ทีมใดทำฟาวล์ติดต่อกัน 3 ครั้ง ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ประตู8. การได้ประตูทำได้โดยการโยนหรือปัดลูกบอลให้ขึ้นไปค้างบนตระกร้า9. เมื่อลูกบอลออกนอกสนาม ผู้เล่นที่จับลูกบอลคนแรกเป็นผู้ทุ่มลูกเข้ามาเล่นต่อ กรณีที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครก่อนหลังผู้ตัดสินจะส่งลูกบอลเข้ามาให้ ผู้ส่งจะติองส่งลูกบอลเข้าสนามภายใน 5 วินาที ถ้าช้ากว่านี้จะให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามส่งแทน ถ้าผู้เล่นถ่วงเวลาการเล่นให้ปรับฟาว์ล10. ผู้ตัดสินมีหน้าที่ตัดสินผู้ฟาว์ล และลงโทษผู้เล่น11. ผู้ตัดสินทำหน้าที่ตัดสินลูกบอลออกนอกสนาม และรักษาเวลา บันทึกจำนวนลูกที่ทำได้ และทำหน้าที่ทั่วไปของผู้ตัดสิน12. การเล่นแบ่งเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที13. ฝ่ายที่ทำประตูได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะ หัวหน้าทีมจะตกลงกันถ้าคะแนนเท่ากันเพื่อต่อเวลาการแข่งขันถ้าฝ่ายใดทำประตูได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะกติกานี้ใช้มาจนถึง ค.ศ 1937 จึงได้ปรับปรุงแก้ไขครั้งใหญ่เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 11 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันนี และใน ค.ศ1939 ดร.เจมส์ เอ เนสมิทก็เสียชีวิตลงก่อนจะได้เห็นความสำเร็จ และความยิ่งใหญ่ในกีฬาบาสเกตบอลที่เขาคิดค้นขึ้น ต่อมาจากนั้นกีฬาบาสเกตบอลก็แพร่หลาย พัฒนาการเล่นเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกีฬาบาสเกตบอลในระดับนานาชาติได้แก่ สหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาตินอกจากนี้ยังมีองค์กรในระดับทวีป เช่น สมาพันธ์บาสเกตบอลเอเชีย เป็นต้น
ประวัติบาสเกตบอลในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มเล่นกีฬาบาสเกตบอลมากว่า
60 ปีแล้ว มีหลักฐานยืนยันว่าใน พ.ศ. 2477 นายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีน โรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุข ได้ช่วยเหลือกรมพลศึกษาจัดแปลกกติกาบาสเกตบอลขึ้นเป็นครั้งแรก และทางกรมพลศึกษาได้จัดอบรมครูทั่วประเทศประมาณ 100 คน ใช้เวลา 1เดือน วิทยากรสำคัญในการอบรมครั้งนั้น ได้แก่ พ.ต.อ หลวงชาติตระการโกศล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการเล่นกีฬาบาสเกตบอล ทั้งยังเคยเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยเข้าแข่งขันบาสเกตบอลเมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาด้วย จากนั้นกีฬาบาสเกตบอลก็แพร่หลายทั่วประเทศไทย นิยมเล่นกันมากในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีภูมิลำเนาอยู่ตามหัวเมืองในตลาดเขตอำเภอของจังหวัดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร กรมพลศึกษาได้จัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลประจำปีระหว่างนักเรียนชายขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2477 สมัยที่ น.อ. หลวงศุภชลาศัย ร.น. ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา ส่วนการแข่งขันระหว่างนักเรียนหญิงและการแข่งขันระหว่างประชาชนเริ่มจัดใน พ.ศ.2495
ประโยชน์ของกีฬาบาสเกตบอล
กีฬาทุกชนิดทุกประเภทล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตัวทั้งสิน จากประวัติความเป็นมาของกีฬาบาสเกตบอลมีสาเหตุของการคิดค้นเพื่อให้สามารถเล่นออกกำลังกายได้ในช่วงหิมะตก โดยเล่นในโรงพลศึกษา เช่นเดียวกรณีในประเทศไทยเรามีฝนตกก็สามารถเล่นกีฬาบาสเกตบอลในโรงพลศึกษาได้ สนามที่ใช้เล่นก็ไม่ใหญ่มากนักซึ่งเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน คือที่ดินมีราคาสูง แลหาได้ยาก จำนวนผู้เล่นไม่มากนัก ผู้เล่นต้องอาศัยความรวดเร็ว และความสามารถในการเล่น นับว่าเป็นการท้าทายความสามารถในการที่จะฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะหรือความชำนาญในการเล่น ซึ่งกีฬาบาสเกตบอลได้แฝงด้วยคุณค่าและประโยชน์อีกมากมายพอสรุปได้ดังนี้1. ช่วยพัฒนาส่งเสริมสมรรถภาพด้านต่างๆได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคมแก่บุคคล2. ช่วยพัฒนาส่งเสริมกลไกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ให้ทำงานประสานกันดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า สายตาให้เคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง3. เป็นกิจกรรมนันทนาการสำหรับพักผ่อน คลายความตึงเครียด แก่ผู้เล่นและผู้ชม4. ช่วยฝึกการตัดสินใจและรูจักคิดแก้ปัญหา ตลอดจนมีสมาธิที่ดี5. ช่วยฝึกให้มีน้ำใจนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักอภัย6. ใช้เป็นสื่อนำในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและส่วนรวม7. ใช้เป็นสื่อนำในการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา8. ผู้เล่นที่มีความสามารถจะทำชื่อเสียงให้กับตัวเอง วงศ์ตระกูล และประเทศชาติ9. เป็นวิชาชีพด้านหนึ่งสำหรับงานกีฬา เช่น การแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพ
อุปกรณ์และสนามบาสเกตบอล
ลูกบาสเกตบอล
เป็นรูปทรงกลมขนาดเส้นรอบวง 75-78 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 600-650 กรัม แบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆคือ ทำด้วยหนังสำหรับใช้เล่นบนพื้นไม้ร่มและทำด้วยสารผสมยางหรือไนลอน ใช้เล่นบนพื้นซีเมนต์หรือการเล่นกลางแจ้ง เครื่องแต่งกายนักกีฬาบาสเกตบอล เครื่องแต่งกายนักกีฬาบาสเกตบอลใช้ชุดนักกีฬาทั่วไปจะเป็นเสื้อมีแขนสั้น หรือไม่มีแขนก็ได้ กางเกงกีฬา ใช้ผ้าที่ยืดหยุ่นได้ดีและมีการซับเหงื่อดี ถุงเท้าผ้าซึ่งมีความหนาและรองเท้าพื้นยางเรียบ ภายในของพื้นรองเท้า ควรมีความหนาเพื่อลดแรงกระแทกของเท้า และถ้าเป็นไปได้ควรใช้รองเท้าที่หุ้มข้อจะช่วยป้องกันข้อเท้าไม่ให้พลิกง่ายในเวลาเล่น การดูแลรักษาอุปกรณ์1. เครื่องแต่งกายต้องดูแลรักษาให้สะอาดเสมอ เมื่อนำไปซักล้างต้องผึ่งแดดให้แห้งสนิทก่อนนำมาใช้2. ลูกบาสเกตบอลต้องเก็บเป็นที่ให้เรียบร้อยเมื่อเลิกใช้ และไม่นำมาใช้เป็นที่รองนั่งจะทำให้ลูกบาสเกตบอลผิดรูปทรง ถ้าเปียกน้ำหรือเปรอะเปื้อนให้เช็ดทำความสะอาด ผึ่งให้แห้งก่อนเก็บ3. ควรตรวจดูอุปกรณ์และพื้นสนามว่าอยู่ในสภาพที่ดี สามารถใช้งานได้หรือไม่ ถ้าชำรุดต้องรีบปรับปรุงแก้ไข4. ห้ามกระโดดเกาะหรือห้อยโหนห่วงประตูเล่น5. จัดระเบียบการใช้สนามและอุปกรณ์ ประกาศให้ทุกคนทราบ6. จัดหาสถานที่หรือเก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบ
มารยาทที่ดีของผู้เล่นและผู้ชมบาสเกตบอล
มารยาทที่ดีเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ในการอยู่ร่วมกันในสังคมหรือขณะที่ประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน การเล่น-การชมกีฬาที่ดีก็ควรมีมารยาทสำหรับการเล่นและการชมที่ดีด้วย หรืออาจกล่าวง่ายๆว่า เล่นเป็น-ดูเป็น
มารยาทผู้เล่นที่ดี
1. มีความรู้เรื่องระเบียบและกฎกติกาการเล่น2. มีอุปกรณ์ส่วนตัวพร้อม 3. สุภาพทั้งกิริยาท่าทางตลอดจนคำพูด4. ให้เกียรติและเชื่อฟัง ยอมรับคำตัดสินของผู้ตัดสิน5. มีน้ำใจนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักให้อภัย6. ต้องตรงต่อเวลา7. ต้องรู้จักป้องกันอันตรายที่เกิดจากการเล่น8. นอกจากที่กล่าวมาแล้วสำหรับการเล่นเพื่อความสนุกสนาน ควรปฏิบัติ ดังนี้8.1 ควรเล่นกับผู้ที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน8.2 ไม่ควรดูถูกความสามารถผู้อื่น8.3 สำหรับผู้ที่มีฝีมือการเล่นดีกว่า ควรช่วยประคองการเล่น ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นได้ด้วยความสนุกสนาน8.4 ควรแสดงความยินดีและชมเชยเมื่อผู้เล่นเล่นได้ดี8.5 ควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เล่นบ้างเมื่ออุปกรณ์มีจำกัด8.6 ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น ซึ่งไม่ได้ร่วมเล่นด้วย8.7 ไม่ควรสูบบุหรี่หรือเสพของมึนเมาขณะเล่น
มารยาทผู้ชมที่ดี
1. เข้าชมในสถานที่ซึ่งจัดไว้สำหรับผู้ชม2. ขณะที่ผู้เล่นกำลังยิงประตู ณ จุดโทษควรอยู่ในอาการสงบ3. การเดินไปมา หรืออยู่ในตำแหน่งที่กีดขวางหรือปิดกั้นสายตาการชมของผู้อื่น4. ให้ความร่วมมือกับกรรมการผู้ตัดสิน 5. ไม่แสดงอาการหรือส่งเสียงยั่วยุจนทำให้ผู้เล่นหรือกองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามเกิดโทสะ6. การวิจารณ์หรือว่ากล่าวผู้ตัดสินหรือผู้เล่น7. การสูบบุหรี่หรือเสพเครื่องดื่มมึนเมาขณะชมการแข่งขัน เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม8. ในขณะที่มีพิธีมอบรางวัลหรือพิธีเปิด-ปิดการแข่งขัน ควรอยู่ชมให้จบสิ้นรายการก่อน
ใบความรู้ที่ 2
การป้องกันรักษาและส่งเสริมสร้างสุขภาพ
การดูแลรักษาสุขภาพ
สุขภาพ หมายถึง สภาพความสมบูรณ์หรือสภาพที่ดีทางร่างกายและจิตใจ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆและไม่ทุพพลภาพ ร่างกายและจิตใจมีความเกี่ยวเนืองสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ถ้าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง จิตใจก็จะเบิกบานแจ่มใส ในทางกลับกันถ้าจิตใจเศร้าหมองหรือกลัดกลุ้มก็จะส่งผลต่อสุขภาพทางกายตามมา เป็นต้น เป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคลที่ต้องสอดส่องดูแลรักษาสุขภาพของตนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทุกคนควรปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องการรับประทานอาหาร หารพักผ่อน การออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพ
การรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง คือ การรับประทานอาหารให้ตรงตามเวลาและครบ3มื้อ สำหรับเด็กต้องมีปริมาณที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะอาจทำให้ขาดสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงได้ ฉะนั้นควรรับประทานแต่พอดีคือพอรู้สึกว่าอิ่ม และต้องได้สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน
สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
1. โปรตีน สารอาหารประเภทนี้มีมากในเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่นม และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นสารอาหารที่จำเป็นยิ่งสำหรับร่างกาย ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรง มีความต้านทานโรค เสริมสร้างกล้ามเนื้อกระดูก หัวใจและอวัยวะอื่นๆและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ2. คาร์โบไฮเดรต สารอาหารประเภทนี้ได้จากอาหารจำพวกแป้ง ข้าว เผือก มัน และน้ำตาล เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถกระทำกิจกรรมต่างๆได้ แต่ถ้ารับประทานมากเกินไปก็จะสะสมไว้ในร่างกายในรูปของไขมัน ทำให้อ้วนได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานแต่พอเหมาะ3. ไขมัน ได้จากน้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายทั้งยังเป็นแหล่งสะสมพลังงานที่เหลือใช้ซึ่งร่างกายจะนำมาใช้ในยามเจ็บไข้ได้4. เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ทำหน้าที่เสริมสร้างร่างกาย และควบคุมการทำงานต่างๆภายในร่างกายให้เป็นปกติ เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการมีหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน5. วิตามิน เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันโรค ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ปกติ ซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินสำคัญๆดังนี้ วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินดี นอกจากนี้สารอาหารที่กล่าวมาแล้ว น้ำสะอาด ที่ใช้ดื่มก็จำเป็นต่อทุกคน เพราะน้ำทำให้ร่างกายชุ่มชื่นเป็นตัวลำเลียงต่างๆในร่างกาย ช่วยระบายความร้อน และขับของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายจะขาดน้ำไม่ได้
การพักผ่อน
การพักผ่อนนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นประการหนึ่งซึ่งร่างกายต้องการ การพักผ่อน มีอยู่ 2 วิธี1. การพักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ การผ่อนคลายจากการทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดการพักผ่อนหย่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดความเพลิดเพลินใจ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การประกอบกิจกรรมนันทนาการ สามารถปฏิบัติร่วมกับผู้อื่นหรือกระทำโดยลำพังก็ได้ เช่น การอ่านหนังสือ การวาดภาพ ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี ดูภาพยนตร์ เล่นกีฬา เป็นต้น2. การพักผ่อนนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ทำให้ร่างกายได้หยุดพักอย่างเต็มที่ เป็นสิ่งจำเป็นสำคัญยิ่งของทุกคน เพราะร่างกายทำงานแล้วต้องมีการพักผ่อนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะลุกขึ้นมาทำงานในวันต่อไป
การออกกำลังกาย
มนุษย์ทุกคนต้องมีการเคลื่อนไหวซึ่งเป็นคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต การออกกำลังกายจึงเป็นการกระทำตามคุณลักษณะของสิ่งมีชีวิต การออกกำลังกายที่ดีนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วควรจะส่งผลที่ดีแก่จิตใจด้วย คือ เกิดความสนุกสนาน และได้ผ่อนคลายความเครียดจาการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายมีหลักวิธีการปฏิบัติโดยแบ่งลักษณะของกิจกรรมการออกกำลังกายออกเป็น 3 ส่วนคือ1. การอบอุ่นร่างกายก่อนฝึก คือ การเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนที่จะออกกำลังกายที่หนักต่อไป โดยการบริหารส่วนต่างๆของร่างกาย ใช้เวลาประมาณ 15-20 % ของเวลาทั้งหมด2. การออกกำลังกาย คือ การฝึกหรืออกกำลังกาย เช่น การเล่นกีฬา การวิ่ง การเดิน เป็นต้น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 60-70% ของเวลาทั้งหมด3. การอบอุ่นร่างกายหลังฝึก คือการบริหารร่างกายเพื่อให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติ อย่างช้าๆ หลังจากการออกกำลังกายหนัก ซึ่งจะช่วยให้อาการเมื่อยล้าหลังการฝึกลดน้อยลงและเป็นการปรับสภาพร่างกายกลับคืนสู่ปกติ การอบอุ่นร่างกายหลังฝึกจะช่วยลดอาการเป็นไข้หรือหวัดที่เกิดจากการปรับสภาพร่างกายไม่ทันได้ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 15-20% ของเวลาทั้งหมดการตรวจสุขภาพ ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าอย่างมาก แต่มนุษย์ขาดการออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วเราจะหาความสุขไม่ได้เลย และการตรวจสุขภาพสามารถทำได้เองในบางส่วนและบางส่วนต้องใช้วิธีทางการแพทย์โดยทั่วไปแล้วควรตรวจสุขภาพโดยสถานพยาบาลทางการแพทย์โดยตรงอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
สมรรถภาพทางกายแลการทดสอบสมรรถภาพทางกลไก
สมรรถภาพทางกาย คือ สภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถปฏิบัติงานได้เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังมีความต้านทานโรคสูง ซึ่งประกอบด้วย ความแข็งแรง ความเร็ว ความทนทาน ความอ่อนตัว การทรงตัว ปฏิกิริยาตอบสนอง รวมถึงที่ทักษะในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ สมรรถภาพทางกลไก คือ สภาพความสามารถในการทำงานของอวัยวะ หรือลักษณะการเคลื่อนไหวของส่วนต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ความแข็งแรง ความเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไวกำลังความทนทาน การทรงตัว ในส่วนนั้นๆ ดังนั้นสมรรถภาพทางกลไกจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถบอกถึงสภาพร่างกาโดยรวมได้เช่นกัน
ใบความรู้ที่ 3
ทักษะพื้นฐานของกีฬาบาสเกตบอล
การเตรียมพร้อม การเตรียมพร้อมคือ การยืนในลักษณะพร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือจะรับลูกก็ตาม ถือว่าเป็นทักษะส่วนบุคคลมือเปล่าทักษะแรกของกีฬาบาสเกตบอล วิธีปฏิบัติ1. ยืนแยกเท้าห่างกันประมาณ 1 ช่วงไหล ย่อเข่าลงเล็กน้อยน้ำหนักตัวตกค่อนมาที่ปลายเท้าให้เคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก2. ลำตัวตั้งตรงสายตามองตรงหรือมองลูกกางมือทั้งสองออกประมาณแนวไหล่3. อาจโบกมือไปมาเพื่อรบกวนหรือป้องกันการส่งลูกหรือยิงประตูของฝ่ายตรงกันข้าม4. กรณีที่ต้องการปิดทิศทางการเคลื่อนที่ของฝ่ายตรงกันข้ามเพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ได้สะดวกขึ้นอาจใช้เท้าใดเท้าหนึ่งนำหน้าเล็กน้อย จะช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น การเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ของกีฬาบาสเกตบอลต้องการความเร็วและจังหวะการเคลื่อนที่ที่ดี เนืองจากเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความเร็วและพื้นที่ไม่กว้างนักนักกีฬาบาสเกตบอลที่ดีควรฝึกการเคลื่อนที่ให้ถูกต้องเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการเล่นทางหนึ่งเพราะถ้าเคลื่อนที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องอาจทำให้ข้อเท้าหรือเข่าได้รับบาดเจ็บจากการเคลื่อนที่ในการเล่นกีฬาบาสเกตบอลได้ลักษณะการเคลื่อนที่ของกีฬาบาสเกตบอลได้แก่ การวิ่ง การก้าวเท้าตามกัน การกระโดด
การวิ่ง
การวิ่งคือการเคลื่อนที่โดยการก้าวซ้ายขวาสลับอย่างรวดเร็วและต้องมีการทรงตัวที่ดีขณะเคลื่อนที่อยู่วิธีปฏิบัติ1. วิ่งลงด้วยปลายเท้าเพื่อลดความเสียดสีทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น2. ลำตัวโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยสายตามองตรงแขนแกว่งสลับกันและพร้อมที่จะรับอยู่ตลอดเวลาการก้าวเท้าตามกัน การก้าวเท้าตามกัน คือ การก้าวเท้าหนึ่งแล้วก้าวอีกเท้าหนึ่งตามกันไป ใช้ในการเคลื่อนที่ในพื้นที่แคบหรือระยะใกล้ๆประมาณ 2-3 ก้าว สามารถเคลื่อนที่ได้ด้านหน้า-หลัง หรือซ้าย-ขวา วิธีปฏิบัติ1. จากการเตรียมพร้อม ก้าวเท้าหนึ่งออกไปในทิศทางที่ต้องการ แล้วก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งตาม2. ลำตัวตั้งตรง สายตามองที่จุดหมาย การกระโดด การเล่นบาสเกตบอลจำเป็นต้องใช้กระโดช่วยในการเล่น เช่น การกระโดดแย่งลูก การกระโดดขึ้นยิงประตู เป็นต้น จึงต้องฝึกกระโดดให้ถูกวิธีและปฏิบัติได้คล่องแคล่ว วิธีปฏิบัติ1. จากการเตรียมพร้อม ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่เท้าทั้งสอง ย่อเข่าลงเล็กน้อย2. ส่งแรงจากเท้าทั้งสอง กระโดดขั้นพร้อมทั้งเหวี่ยงมือทั้งสองขึ้น เงยหน้ามองจุดหมายหรือลูกบอล3. ขณะที่ลงสู่พื้นให้ลงด้วยปลายเท้าและย่อเข่าลงเล็กน้อย การหยุด การหยุด เป็นทักษะที่จำเป็นเพราะการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและต้องหยุดได้ทันที ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจทำให้ข้อเท้าบาดเจ็บได้ ลักษณะการหยุดที่ใช้ 2 วิธี คือ การหยุดด้วยเท้าข้างเดียวและหยุดเท้าคู่ การหยุดด้วยเท้าข้างเดียว วิธีปฏิบัติ 1. ขณะเคลื่อนที่มาด้วยความเร็ว ให้ใช้เท้าใดเท้าหนึ่งเป็นหลัก ทิ้งนำหนักตัวลงที่เท้านั้นพร้อมทั้งย่อเข่าลง2. ถ้าทรงตัวไม่อยู่ ก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งไปข้างหน้าโดยอย่าให้เท้าหลักเคลื่อนที่ ทิ้งตัวต่ำลง หย่อนสะโพกลงต่ำ ลำตัวตั้งตรง อย่าก้มหน้า วิธีปฏิบัติ1. ขณะเคลื่อนที่มาให้กระโดลอยตัวให้เท้าทั้งสองพอพ้นพื้น2. ทิ้งตัวลงให้น้ำหนักลงที่ปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง3. ย่อเข่าลงให้สะโพกต่ำ ลำตัวตั้งตรง อย่าก้มหน้าเพราะจะทำให้เสียการทรงตัวการครอบครองการครอบครอง หมายถึง การเป็นฝ่ายที่กำลังเล่นลูกอยู่ มี 2 ลักษณะ คือการครอบครองบอลบุคคล และการครอบครองบอลในทีม ซึ่งหมายถึงลูกบอลอยู่ในการเล่นของทีมนั้นๆที่จะกล่าวถึงในช่วงนี้คือ การครอบครองบอลบุคคล ซึ่งนับว่าเป็นทักษะพื้นฐานก่อนที่จะปฏิบัติทักษะอื่นต่อไป ได้แก่ การส่ง การยิงประตู การหลอกล่อ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการครอบครองบอลก็คือ การจับถือลูกบอลนั่นเอง จำเป็นต้องถือให้ถูกต้อง เพื่อสะดวกในการใช้ลูกบอลต่อไปวิธีปฏิบัติ1. จากท่ายืนเตรียมจับลูกโดยกางนิ้วมือทั้ง 2 ข้างออก ห่างกันพอประมาณ ใช้นิ้วมือสัมผัสผิวของลูกบริเวณตรงกลางค่อนมาทางหลังใกล้กับตัว โดยให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ใกล้ลำตัวชี้ขึ้นและอยู่ห่างกันพอประมาณ2. ตำแหน่งของลูกบอล อยู่ระหว่างทรวงอก กางศอกออกเล็กน้อย ให้สามารถเคลื่อนไหวมือและแขนได้สะดวก3. ลำตัวตั้งตรง สายตามองตรงหรือมองไปยังเป้าหมาย4. ยืนอยู่ในลักษณะเดียวกับท่ายืนเตรียมพร้อม
ใบความรู้ที่ 4
การรับ - ส่งลูกบาสเกตบอล
ความสำคัญของการส่ง-รับบาสเกตบอล
การรับ-ส่งลูกบอลเป็นการครอบครองลูกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจุดหมายเพื่อพาลูกเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ โดยใช้บุคคลตั้งแต่ 2คนขึ้นไป ในการเล่นบาสเกตบอลนั้นเป็นการยากที่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งจะเลี้ยงลูกบอลไปยิงประตูได้สำเร็จเพียงลำพังคนเดียว จะต้องอาศัยการส่ง-รับลูกบอลไปมาอยู่ตลอดเวลา การส่ง-รับลูกบอลจึงเป็นทักษะที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งในกีฬาบาสเกตบอล การส่ง-รับลูกบอลจะต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี คล่องแคล่วว่องไว แม่นยำ อีกทั้งการส่งและการรับมีความสัมพันธ์กันอย่างดี จึงจะทำให้ได้เปรียบในขณะเป็นฝ่ายรุกหรือเป็นฝ่ายครอบครองลูกแต่การส่ง-รับลูกไม่ถูกวิธี ขาดความชำนาย ไม่ประสานสัมพันธ์กัน เช่น ผู้ส่งลูกไม่ถูกจังหวะ ไม่ตรงเป้าหมาย ผู้รับรับไม่ถูกจังหวะ รับพลาด หรือผู้ส่งส่งลูกได้ดีแต่ผู้รับไม่สามารถรับลูกได้ ก็ไม่มีปรโยชน์และทำให้เสียเปรียบในการเล่น การส่งลูกบาสเกตบอล การส่งลูกแบ่งตามลักษณะใหญ่ๆได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1.การส่งลูกสองมือ 2.การส่งลูกมือเดียว 3.การส่งลูกกระดอน การส่งลูกสองมือ การส่งลูกสองมือ จะใช้มือทั้งสองส่งลูกออกไป มีวิธีการส่งหลายแบบที่นิยม ได้แก่ การส่งลูกสองมือระดับหน้าอก และการส่งลูกสองมือเหนือศีรษะ 1.การส่งลูกสองมือระดับอก ใช้สำหรับการส่งระยะไม่ไกลนัก คือ ระยะทางประมาณ 3-8 เมตร ถือว่าเป็นการส่งที่ใช้มากที่สุด วิธีปฏิบัติ 1.จากท่ายืนถือลูกครอบครองบอล หุบศอก ดึงลูกบอลเข้าหาตัวคล้ายม้วนมือขึ้น แล้วผลักออกไปด้วยมือทั้งสองข้าง 2.ขณะส่งลูกออกไปแขนทั้งสองเหยียดตรงตามทิศทางที่ส่งสายตามองเป้าหมาย 3.ถ้าต้องการส่งลูกให้แรงขึ้น ให้ก้าวเท้าข้างหนึ่งตามไป โดยอย่าให้เท้าอีกข้างหนึ่งเคลื่อนที่ 4. ใช้นิ้วมือเป็นตัวบังคับทิศทางลูกให้ตรงตามต้องการ 2.การส่งลูกสองมือเหนือศีรษะใช้สำหรับการส่งระยะ 6-8 เมตร วิธีปฏิบัติ1. จากท่ายืนถือลูกครอบครองบอล ยกลูกขึ้นเหนือศีรษะค่อนข้างหน้าเล็กน้อย ตั้งศอกชี้ออก2. ก้าวเท้าด้านตรงกันข้ามกับมือที่ส่งไปข้างหน้า3. ส่งแรงที่แขนและข้อมือที่ส่งไปตามทิศทางที่ต้องการ4. ใช้นิ้วมือบังคับทิศทางลูก3. การส่งลูกมือเดียวข้างลำตัว ใช้สำหรับการส่งระยะกล เหมาะกับเด็กเล็กและผู้หญิงวิธีปฏิบัติ1. จากท่ายืนถือลูกครอบครองบอล ดึงลูกมาไว้ข้างลำตัวด้านมือที่จะส่ง มืออีข้างหนึ่งประคองลูกไว้2. ก้าวเท้าด้านตรงข้ามกับมือที่จะส่งไปข้างหน้า3. เหวี่ยงมือที่ถือลูกออกจากข้างลำตัวไปในทิศทางที่ต้องการ โดยเหยียบแขนและนิ้วมือตามบังคับทิศทางลูก
การส่งลูกกระดอน
การส่งลูกกระดอน คือ การส่งให้ลูกตกพื้นก่อนที่จะถึงตัวผู้รับ ใช้สำหรับการส่งระยะไม่ไกลนัก เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการส่งลูกหลบฝ่ายตรงกันข้ามที่ตัวสูง มีวิธีการส่งหลายวิธี สามารถส่งได้ทั้งมือเดียวและสองมือวิธีการส่งคล้ายกับการส่งโดยทั่วไป แต่ต้องส่งลูกให้กระทบพื้นก่อนถึงตัวผู้รับ เป็นระยะ 2 ใน 3 ส่วนของระยะทางทั้งหมด1. การส่งลูกสองมือกระดอน2. การส่งลูกมือเดียวกระดอน
หลักการส่งลูกที่ดี
1. ต้องส่งลูกได้ตรงแม่นยำมีความเร็ว และมีความแรงพอเหมาะกับผู้รับ2. ต้องสามารถส่งลูกได้หลายแบบ3. 4. มองเป้าหมายในขณะที่ส่ง เมื่อมีฝ่ายป้องกันควรใช้หางตามองแทน เพราะจะช่วยให้ฝ่ายตรงข้ามดักตัดบอลได้ยาก5. ก่อนส่งลูกออกไป ต้องสังเกตผู้รับว่าพร้อมที่จะรับหรือไม่
การรับลูกบาสเกตบอล
การรับลูกสามารถรับได้ทั้งด้วยมือข้างเดียวและมือสองข้าง ต้องฝึกให้คล่องทั้งสองแบบ จึงจะเล่นบาสเกตบอลได้ดี1. การรับด้วยมือเดียว2. การรับลูกด้วยสองมือ
หลักการรับลูกที่ดี
1. เอื้อมมือออกไปรับลูกทุกครั้ง2. ใช้ปลายนิ้วด้านในสัมผัสลูกก่อนเพื่อลดแรงปะทะ3. ผ่อนความแรงของลูกที่ส่งมาโดยงอแขนเข้าหาลำตัวเมื่อลูกบอลสัมผัสมือ4. ครอบครองลูกบอลให้ดีพร้อมที่จะเล่นลูกต่อไปด้วยมือทั้งสองข้าง
ใบความรู้ที่ 5
การเลี้ยงลูกบาสเกตบอล จุดมุ่งหมายของการเลี้ยงลูกบาสเกตบอล การเลี้ยงลูกบาสเกตบอล คือ การนำลูกบอลเคลื่อนที่ไปด้วยบุคคลเดียว ตามกติกาต้องทุ่มลูกกระทบพื้นด้วยมือข้างเดียวหรือสองข้างโดยสลับกัน เพื่อเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆเป็นการครอบครองด้วยบุคคลอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ1. การเลี้ยงลูกบอลเพื่อความเร็ว2. การเลี้ยงลูกบอลเพื่อหลบหลีก3. การเลี้ยงลูกบอลเพื่อครอบครองหรือรอจังหวะการเล่นผู้เล่นต้องฝึกเลี้ยงลูกบอลให้คล่องแคล่ว สามารถเลี้ยงได้ทั้งด้วยมือขวาและด้วยมือซ้าย อีกทั้งจะต้องทราบด้วยว่า จังหวะใดควรจะเลี้ยงลูกบอลหรือควรจะยิงประตู หรือส่งลูกต่อให้ผู้เล่นร่วมทีม จังหวะใดควรจะเลี้ยงลูกอยู่กับที่หรือเลี้ยงลูกเคลื่อนที่ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือไม่ควรเลี้ยงบอลพร่ำเพรื่อ เพราะนอกจากจะสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้แก่ผู้เล่นอื่นและผู้ดูแล้ว ยังอาจพลาดโอกาสในการทำประตู หรืออาจถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งลูกไปได้
วิธีการเลี้ยงลูกบาสเกตบอล
วิธีการเลี้ยงลูกบาสเกตบอลมี 3 แบบ ได้แก่1. การเลี้ยงลูกระดับสูง คือ การเลี้ยงลูกโดยทุ่มเทลูกบอลให้สูงระดับเหนือเอวขึ้นมาแต่ไม่ควรเกินหัวไหล่ จะทำให้ควบคุมทิศทางลูกบอลยาก ใช้กับการเคลื่อนที่ในทิศทางตรง เช่น การวิ่งเลี้ยงลูก2. การเลี้ยงลูกระดับต่ำ คือการเลี้ยงลูกโดยทุ่มลูกบอลต่ำกว่าเอวลงไปคือประมาณความสูงระดับเข่า ใช้สำหรับเคลื่อนที่หลบหลีกคูต่อสู้หรือใช้เลี้ยงในพื้นที่แคบ อาจจะใช้การเคลื่อนที่โดยการก้าวเท้าตามกัน การเลี้ยงระดับนี้จะควบคุมลูกได้ดี สามารถพาลูกไปกับตัวได้คล่องแคล่ว3. การเลี้ยงลูกระดับกลาง คือ การเลี้ยงลูกโดยทุ่มลูกบอลสูงระดับเอวหรือสูงกว่าเล็กน้อย ส่วนมากมักเลี้ยงอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่ช้าๆ เพื่อรอจังหวะการส่ง หรือรอเพื่อนร่วมทีม เช่น การเข้ารุกแบบการตั้งรับของฝ่ายตรงกันข้ามวิธีปฏิบัติ1. จากท่าเตรียมถือลูกครอบครอง ใช้มือข้างเดียวทุ่มลูกลงพื้น โดยกางนิ้วออกบังคับทิศทางการทุ่ม2. ใช้การเคลื่อนไหวของแขนท่อนล่างพับขึ้นลงตามจังหวะการทุ่ม3. แขนและมืออีกข้างหนึ่งกางออกเล็กน้อย ย่อเข่าลงเพื่อให้เกิดการทรงตัวที่ดี4. สายตามองตรง ลำตัวตั้งตรง หรือโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย5. ถ้าต้องการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายให้ทุ่มลูกบอลด้วยมือขวา ถ้าต้องการเคลื่อนที่ไปทางขวา ให้ทุ่มลูกบอลด้วยมือซ้าย และหันหน้าตามทิศทางที่เคลื่อนที่6. พยายามอย่าให้ลูกบอลที่ทุ่มอยู่ห่างตัวเพราะอาจจะถูกแย่งลูกบอลได้ง่าย
หลักการเลี้ยงลูกที่ดี
1. สามารถเลี้ยงลูกบอลได้ดวยมือทั้งสองข้างและใช้นิ้วมือสัมผัสขณะทุ่มลูกบอล2. ใช้การชำเลืองตาและการสัมผัสของมือในการเลี้ยงลูก ไม่ควรก้มหน้ามองลูกขณะเลี้ยง3. สามารถเลี้ยงลูกเปลี่ยนทิศทางได้และเลี้ยงลูกบอลได้ทุกแบบ4. มีความพร้อมที่จะจับลูกเพื่อส่งหรือยิงประตูตลอดเวลา
ใบความรู้ที่ 6
การยิงประตูบาสเกตบอล
การยิงประตู คือ หัวใจของ
การเล่นกีฬาบาสเกตบอล เพราะเป็นจุดมุ่งหมายของการเล่นเพื่อนำลูกไปโยนลงห่วงประตูของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มกี่สุดหรือมากกว่าฝ่ายตรงข้าม การยิงประตูมีวิธีการยิงหลายแบบด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้1. แบ่งตามลักษณะของเท้า แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ1.1 การยืนยิงประตู1.2 การกระโดดยิงประตู1.3 การก้าวเท้าเข้ายิงประตู2. แบ่งตามลักษณะมือที่ยิง แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ2.1 การตั้งมือยิงประตู2.2 การหงายมือยิงประตู2.3 การคว่ำมือยิงประตู2.4 การเหวี่ยงมือยิงประตู3. แบ่งจากมือที่ถือขณะยิงประตู แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ3.1 การยิงประตูมือเดียว3.2 การยิงประตูสองมือ4. แบ่งตามระยะการยิงประตู แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ4.1 การยิงระยะใกล้ ระยะการยิงในบริเวณเขตโทษ หวังผล 80-100 เปอร์เซ็นต์4.2 การยิงระยะกลาง ระยะการยิงภายในเขต 3 คะแนน หวังผล 60-80 เปอร์เซ็นต์4.3 การยิงระยะไกล ระยะการยิงนอกเขต 3 คะแนน หวังผล 40-60 เปอร์เซ็นต์การยืนยิงประตูการยืนยิงประตูแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การยิงประตูมือเดียว และการยิงประตูสองมือ1. การยิงประตูมือเดียววิธีปฏิบัติ1. จากท่าเตรียมถือลูกครอบครองบอล ก้าวเท้าข้างเดียวกับมือที่ใช้ยิงประตูไปข้างหน้า 1 ก้าว หันไหล่ด้านมือที่ใช้ยิงเข้าหาประตู2. ตั้งมือที่ใช้ยิงขึ้นระดับไหล่ มืออีกข้างหนึ่งประคองด้านข้างของลูกบอล3. ตามองเล็งที่ขอบห่วงประตูด้านใน ย่อเข่าลงเล็กน้อย4. ส่งแรงจากเท้า หัวไหล่และมือผลักลูกบอลตรงออกไป โดยให้ลูกบอลลอยโด่งลงในห่วงประตู5. ลักษณะของลูกจะหมุนกลับเล็กน้อย ใช้นิ้วบังคับลูกบอลให้ลอยสูงโค้งไปตามทิศทางที่เล็งไว้แต่แรก6. แขนที่ยิงประตูเคลื่อนที่ตามทิศทางที่ยิงบอลออกไป2. การยิงประตูสองมือวิธีปฏิบัติ1. จากท่าเตรียมถือลูกครอบครองบอล จะก้าวเท้าที่ถนัดไปข้างหน้าหรือไม่ก็ได้ สายตามองเล็งที่ห่วงประตูขอบด้านใน2. ส่งแรงจากเท้าสู่หัวไหล่และแขน ผลักลูกบอลออกไปตามทิศทางที่เล็งไว้ ให้ลูกบอลลอยโค้งลงห่วงประตูและหมุนกลับเล็กน้อย3. แขนทั้งสองที่ผลักลูกบอลออกไปให้เหยียดตึงและนิ้วมืออยู่ในลักษณะตามทิศทางที่ลูกเคลื่อนที่ออกไป
การกระโดดยิงประตู
การกระโดดยิงประตูเป็นประโยชน์ต่อการเล่นมาก เพราะทำให้ฝ่ายตรงข้ามป้องกันการยิงได้ยากขึ้นสามารถกระโดดยิงประตูได้ทั้งมือเดียวและการยิงสองมือวิธีปฏิบัติ1. จากท่าเตรียมถือลูกครอบครองบอล ย่อเข่าและย่อตัวลงพอถนัดเพื่อตั้งลูกบอลตามท่าที่ผู้ยิงถนัด2. กระโดดขึ้นให้ตัวลอย ขณะที่ตัวลอยนิ่งแล้วให้ส่งแรงจากหัวไหล่ แขน และมือที่ถือลูก ผลักลูกบอลให้ลอยโค้งออกไปลงห่วง ประตูตามทิศทางที่ต้องการ3. ขณะที่ยิงแล้วลำตัวแขนควรเหยียดตรงใช้นิ้วมือบังคับลูกให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ4. เมื่อยิงประตูแล้วขณะลงสู่พื้นลงด้วยปลายเท้าแล้วย่อเข่าเล็กน้อย เพื่อลดแรงกระแทกของเท้ากับพื้น
การก้าวเท้ายิงประตู
การก้าวเท้ายิงประตู คือการเคลื่อนที่เข้ายิงประตูระยะใกล้ บางแห่งเรียกว่า การลอยบอล การวางบอล การวิ่งบอล การขึ้นบอลฯลฯ ในที่นี้ขอใช้คำว่า การก้าวเท้ายิงประตู เพราะลักษณะการยิงประตูแบบนี้จะต้องเคลื่อนที่และมีการก้าวเท้าก่อนยิงประตู ซึ่งเป็นข้อยกเว้นตามกติกาการเล่นให้ก้าวเท้าได้ 1 เท้าขณะเคลื่อนที่ไปกับลูกบอลก่อนปล่อยลูก เป็นการเล่นแบบต่อเนืองเช่นเดียวกับการเคลื่อนที่แล้วส่งลูกหรือการเคลื่อนที่เข้ารับลูกวิธีปฏิบัติ1. ขณะเคลื่อนที่เข้ารับลูกบอล หรือเลี้ยงลูกบอลอยู่ ให้จับลูกบอลในขณะที่เท้าด้านถนัดก้าวตกลงพื้นนับเป็นจังหวะที่ 12. ก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งพร้อมทั้งเตรียมตั้งลูกบอลเพื่อยิงประตูแบบต่างๆเช่น ยิงแบบตั้งมือ หงายมือ คว่ำมือ หรือเหวี่ยงมือ เป็นจังหวะที่ 23. เมื่อเท้าอีกข้างหนึ่งลอยพ้นพื้น นั่นคือจังหวะที่ 3 คือการยิงประตูให้ลอยตัวให้สูงที่สุดและใกล้ห่วงประตูมากที่สุด แล้วปล่อยบอลเข้าหาห่วงประตู4. เมื่อลงสู่พื้นมักจะลงด้วยเท้าทีละข้างให้ลงด้วยปลายเท้าคล้ายกับการก้าวเท้าวิ่ง
การยิงประตูที่จุดโทษ
1. ควรใช้เวลายิงในแต่ละครั้งไม่เกิน 5 วินาที2. ระวังอย่าให้เท้าเหยียบหรือสัมผัสที่เส้นโทษ3. ควรใช้การยืนยิงมากกว่ากระโดยิง 4. ตั้งสมาธิและเล็งเป้าหมายทุกครั้งที่ยิงประตู
ใบความรู้ที่ 7
การป้องกันการส่งและการป้องกันการยิงประตู ความหมายและจุดมุ่งหมายของการป้องกัน การป้องกันการส่งและการป้องกันการยิงประตู หมายถึง การตกเป็นฝ่ายรับ คือไม่ได้ครอบครองบอลนั่นเอง จุดมุ่งหมายของการป้องกัน คือ เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู้หรือฝ่ายทีครอบครองบอลยิงประตูได้ พร้อมกันนั้นก็ต้องพยายามแบ่งลูกบอลจากคู่ต่อสู้มาเป็นของฝ่ายตนให้ได้ด้วย ลักษณะขงการป้องกันการส่งและการยิงประตูสามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การป้องกันส่วนบุคคล และการป้องกันเป็นทีม การป้องกันการส่งและการป้องกันการยิงประตูเป็นทีม การป้องกันการส่งและยิงประตูในการเล่นเป็นทีมนั้น ทุกคนในทีมจะต้องร่วมมือกัน รูปแบบของการป้องกันเป็นทีมที่ใช้กันมากมี 2 รูปแบบ ดังนี้1. การป้องกันแบบตัวต่อตัว2. การป้องกันแบบตั้งรับ
การป้องกันแบบตัวต่อตัว
กาป้องกันแบบนี้ผู้เล่นแต่ละคนในทีมต้องกำหนดหน้าที่ในการป้องกันฝ่ายตรงข้ามเป็นรายบุคคลคือจับเป็นคู่ที่ตัวเองต้องป้องกันตลอดเวลาไม่ว่าจะมีลูกบอลหรือไม่ก็ตาม ต้องพยายามป้องกันและแย่งลูกบอลให้ได้ตลอดจนป้องกันการยิงประตูและทำลายโอกาสและทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้เล่นที่เป็นคู่ป้องกัน
การป้องกันแบบตั้งรับ
การป้องกันแบบตั้งรับ หรือเรียกว่า การรับแบบโซน ผู้เล่นทั้งทีมจะช่วยกันป้องกันการรุกของฝ่ายตรงกันข้ามคือ ในบริเวณใกล้กับประตูของฝ่ายฝ่ายตนเอง โดยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิให้ฝ่ายตรงกันข้ามสามารถเข้ามายิงประตูในระยะใกล้ได้สะดวก พร้อมทั้งรบกวนสมาธิการส่งและการยิงของฝ่ายรุก ตลอดจนคอยแย่งตัดลูกจากการส่งไปมาของฝ่ายรุกด้วย ลักษณะการป้องกันแบบตั้งรับมีหลายรูป
การป้องกันการส่งและการป้องกันการยิงประตูส่วนบุคคล
วิธีการป้องกันการเล่นหรือการรุกของฝ่ายตรงข้ามเป็นรายบุคคล ให้ปฏิบัติดังนี้1. ใช้วิธีการเคลื่อนที่ตามคู่ต่อสู้และยืนป้องกันโดยยืนระหว่างคู่ต่อสู้กับห่วงประตู2. การยืนป้องกันแบบตั้งรับใช้การเคลื่อนที่โดยการก้าวเท้าตามเพื่อบังหรือป้องกันทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้เล่นฝ่ายรุกที่พยายามเคลื่อนเข้ามาใกล้กับห่วงประตูแล้วรับลูกยิงประตูในระยะใกล้3. การหมุนตัวเพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนที่เข้าแย่งลูกบอล และยังสามารถใช้ป้องกันการเคลื่อนที่ของฝ่ายรุกในลักษณะข้อ 2 ได้โดยหมุนหลังกลับบังทิศทางการเคลื่อนที่ฝ่ายรุกได้
หลักการป้องกันหรือการเป็นผู้เล่นฝ่ายรับ
1. ต้องอยู่ในตำแหน่งการป้องกันที่เหมาะสม เช่น ยืนป้องกันหันหน้าเข้าหาผู้เล่นฝ่ายรุกและหันหลังให้ห่วงประตูตัวเอง2. พยายามปิดทิศทางการเคลื่อนที่ของฝ่ายรุกให้เคลื่อนทที่ได้ไม่สะดวกและหาโอกาสแย่งชิงลูกบอลกลับมาครอบครอง3. รู้จักรูปแบบวิธีรับให้เหมาะสมกับโอกาส เช่นการป้องกันแบบตั้งรับ หรือการป้องกันแบบตัวต่อตัว4. ต้องพยายามปิดบังทิศทางเคลื่อนที่ของฝ่ายรุกที่ยิงประตูแล้วตามเข้ามารับลูกบอลอีก5. กล้าตัดสินใจในการเข้าแย่งลูกบอล หรือตัดบอลจากการส่งลูกบอลของฝ่ายตรงกันข้าม
ใบความรู้ที่ 8
การเล่นทีมและกติกาบาสเกตบอล
การเล่นทีม คือ การเล่นเป็นฝ่ายรุก หมายถึง ฝ่ายที่เป็นผู้ครอบครองบอลไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด บริเวณใดของสนามถือว่าเป็นฝ่ายรุกทั้งสิ้น
1. ผู้เล่นตำแหน่งหน้าหรือปีก มีปีกซ้ายและขวา.2. ผู้เล่นตำแหน่งหลังหรือการ์ด มีการ์ดซ้ายและขวา3. ผู้เล่นตำแหน่งกลางหรือเซนเตอร์การเล่นทีมรุกมีลักษณะการเล่นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลเล่น ได้แก่ 1. ความสามารถและทักษะของผู้เล่นในทีมและฝ่ายตรงข้าม2.การป้องกันของฝ่ายตรงข้าม3.สมถภาพทางด้านร่างกายของผู้เล่นในขณะนั้น5.ผลของคะแนนที่เป็นอยู่ขณะนั้น
รูปแบบของการรุก
1. การรุกอย่างรวดเร็ว2. การรุกเมื่อคู่ต่อสู้องกันแบบตัวต่อตัว3. การรุกเมื่อคู่ต่อสู้ป้องกันแบบตั้งรับ
หลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุก
1. ผู้เล่นทุกคนควรรู้กติกาการเล่นบาสเกตบอล2. ต้องพยายามหาที่ว่างให้ตนเองหลุดพ้นจากการติดตัวของฝ่ายตรงข้าม3. ต้องรู้จักฉวยโอกาส4. ต้องเล่นเป็นทีม5. ยิงประตูด้วยความมั่นใจและติดตามลูกเมื่อยิงไม่ลง6. พร้อมที่จะเล่นบอลตลอดเวลา7. มีความมั่นใจในการเล่น
กติกาบาสเกตบอล
กติกา 1 ลักษระการเล่นบาสเกตบอล
กติกา 2 ขนาดสนามและอุปกรณ์การแข่งขันกติกา 3 ผู้เล่นและโค้ชหรือผู้ฝึกสอนกติกา 4 ผู้ตัดสินและเจ้าหน้าที่กติกา 5 ระเบียบเกี่ยวกับการแข่งขันกติกา 6 ระเบียบเกี่ยวกับเวลากติกา 7 ระเบียบปฏิบัติของผู้เล่นกติกา 8 การกระทำผิดและการลงโทษกติกา 9 การฟาวล์เทคนิคกติกา.10..ข้อปฏิบัติทั่วไป (กติกาใหม่ ปี 1995-1998 )
แหล่งอ้างอิง:
http://kiattisuk.multiply.com