136 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย
พิพิธภัณฑ์ไทย ถือกำเนิดในยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานส่วนพระองค์ แสดงศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปิดหอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นมิวเซียม แล้วย้ายศิลปวัตถุ โบราณวัตถุและสิ่งของต่าง ๆ จากพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ มาจัดแสดงที่นี่ เพื่อให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งในปีพ.ศ.2430 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมิวเซียมจากหอคองคอเดีย ไปตั้งแสดงในพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า บริเวณพระที่นั่งศิวโมขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย นับเป็นการเริ่มต้นของการจัดตั้ง “พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร”
ในยุคของกรมพระยาดำรงราชนุภาพ มีบทบาทในการผลักดันให้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานท้องถิ่นแห่งแรกชื่อว่า “อยุธยาพิพิธภัณฑสถาน” และอีกหลายมณฑล
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหมู่พระวิมานและพระที่นั่งในวังหน้ายกให้เป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการประกาศตั้งเป็น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร” โดยกรมศิลปากร ในปีพ.ศ.2477 และเปลี่ยนมาเป็น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” ในปีพ.ศ.2504
ปัจจุบันสาขาของพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย แบ่งออกเป็นศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประวัติธรรมชาติ ธรรมชาติวิทยาและสิ่งแวดล้อม มานุษยวิทยา ชาติพันธุ์วิทยา ประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี และพิพิธภัณฑ์เฉพาะทางที่อยู่ตามสถาบันต่าง ๆ เช่น การแพทย์ การเมือง การเงินการธนาคาร การทหาร
ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) พูดถึงบทบาทของพิพิธภัณฑ์ เป็นแหล่งเชื่อมโยงความรู้ มรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติในท้องถิ่น อีกบทบาทเป็นพื้นที่บันทึกความทรงจำที่เล่าเรื่องทุกข์และสุข เช่น สงคราม หรือคุณค่าทางวัฒนธรรม
19 กันยายน วันถือกำเนิดพิพิธภัณฑ์ไทย ปีที่ผ่านสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ร่วมกับชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานและสิ่งแวดล้อม และสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จัดมหกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นลพบุรี 33 แห่ง ระหว่างวันที่18-22 กันยายน
ปีนี้สพร. ใช้โอกาสเดียวกันจัดงานใหญ่ “Museum Festival” ครั้งที่สอง ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้ชื่องานว่า มหกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นภาคเหนือ ในรูปแบบนิทรรศการ และเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กิจกรรมการแสดงและกิจกรรมการเรียนรู้ ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน ที่ผ่านมา
เป็นความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
มารวมตัวกันมาก ๆ แบบนี้ ยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา เผลอ ๆ ในรายชื่อพิพิธภัณฑ์ จำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามีอยู่ในเมืองไทยด้วยหรือ เช่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ พิพิธภัณฑ์วิถีแห่งอาข่า พิพิธภัณฑ์ชนเผ่าบ้านจะเล บ้านเสานัก พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่น พิพิธภัณฑ์รถโบราณ พิพิธภัณฑ์แมลงโลกและสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติ ฯลฯ
เสียดายที่การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐไม่มากเท่าที่ควรแก่ความจำเป็น ทำให้อดคิดไม่ได้ถ้าคอรัปชั่นกันน้อยหน่อย หยุดขโมยผลงานศิลปะ และหันมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไทยกันบ้าง
ไม่ต้องไปฝันหวานถึงเมืองนอกแล้วมานั่งลุ้นต่อแถวยาว จ่ายค่าตั๋วแพง ๆ เพื่อชะเง้อคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงคิว