องค์กรระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิก
“องค์กรระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิก”
อาเซียน (Asean)
ความเป็นมาของอาเซียน
อาเซียน : ASEAN (Association of South East Asia Nations) หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเริ่มต้นเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2504 โดยประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย ได้ร่วมมือจัดตั้งสมาคมอาสา หรือ Association of South east Asia เพื่อที่จะร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้ 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากความผันแปรทางการเมืองระหว่างอินโอนีเซียกับมาเลเซีย จนกระทั่งมีการฟื้นฟูสัมพันธภาพ จึงมีการมองสู่ทางที่จะจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมภาคนี้ ดังนั้น สมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 ส.ค. พ.ศ. 2510 โดยมีสมาชิกแรกเริ่ม 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์และประเทศไทย และได้ทำการลงนามปฎิญญากันที่กรุงเทพ ฯ ปัจจุบันอาเซียน มีสมาชิก 10 ประเทศ ซึ่งมีสมาชิกที่เพิ่มขึ้น คือ บรูไน พม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
- อาเซียนมีความร่วมมือเพื่อธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค เช่น การจัดทำปฏิญญากำหนดให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง หรือ Zone of Peace,Freedom and Neutrality (ZOPFAN) ในปี 2514 การจัดทำสนธิสัญญาไมตรี และความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Treaty of Amity and Cooperation (TAC) ในปี 2519 สนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ) และการริเริ่มการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ASEAN Regional Forum (ARF) เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจกันระหว่างประเทศในเอเชียแปซิฟิกซึ่งไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งแรกในปี 2537
- ไทยได้เสนอแนวคิดเรื่อง ASEAN Troika ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน ปี 2542 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ASEAN Troika ประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศที่เป็นประธานอาเซียน ประเทศที่เป็นประธานอาเซียน ประเทศที่เป็นประธานก่อนหน้านั้น และประเทศที่จะเป็นประธานต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการหารือแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคโดยไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศสมาชิกดังเช่นต่อมา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ได้เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้นในสหรัฐอเมริกา แนวคิดเรื่อง ASEAN Troika กลายเป็นกลไกรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจกระทบต่อประเทศสมาชิกและภูมิภาคทำให้การจัดตั้ง ASEAN Troika ของไทยช่วยปรับปรุงการทำงานของอาเซียนให้คล่องตัวมากขึ้นเพื่อให้อาเซียนได้ร่วมหารือและประสานความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและทันต่อเหตุการณ์
องค์กรการค้าโลก
บทบาทของไทยในองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) องค์การการค้าโลกคืออะไร
องค์การการค้าโลก หรือ WTO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538
เป็นผลมาจากการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบอุรุกวัยภายใต้ข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า
(GATT) มีสมาชิกจัดตั้งเริ่มแรก 76 ประเทศ ปัจจุบัน WTO มีประเทศสมาชิกทั้งสิ้น 147 ประเทศ (สมาชิกล่าสุด
คือ เนปาล) ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก WTO เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537 เป็นสมาชิกลำดับที่ 59 มีสถานะเป็น
สมาชิกก่อตั้ง ขณะนี้มีประเทศที่อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก WTO อีก 24 ประเทศที่สำคัญอาทิ รัสเซีย
ซาอุดิอาระเบีย เวียดนาม ลาว เป็นต้น มูลค่าการค้าระหว่างประเทศสมาชิก WTO ด้วยกันคิดเป็นสัดส่วนกว่า
ร้อยละ 90 ของการค้าโลก และการขยายตัวของจำนวนสมาชิกจะมีผลให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกขยายตัว
เพิ่มขึ้นเป็นลำดับด้วยไทยให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้าพหุภาคีในกรอบ WTO เนื่องจากการค้าระหว่าง
ประเทศเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ในปี 2546 ไทยมีรายได้จากการส่งออกสูงถึง 3,333 พันล้านบาท
โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ อาเซียน สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่
ไทยจะต้องการให้มีกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศที่ชัดเจนเป็นธรรม เนื่องจากการใช้มาตรการทางการค้าใดๆ
ของประเทศคู่ค้า ย่อมส่งผลกระทบต่อไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
อาเซม (Asem)
ความเป็นมาของอาเซม (Asem)
การประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือที่เรียกว่า อาเซม (Asia-Europe Meeting : ASEM) ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ
ในวันที่ 1 -2 มีนาคม 2539 เป็นการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ซึ่งเป็นก้าวแรกที่จะเชื่อโยงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และ
ยุโรปอาเซมเริ่มต้นจากข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี Goh Chok Tong ของสิงคโปร์ ที่ต้องการรักษาความสมดุล
ของภูมิภาค โดยให้มีการเชื่อมโยงระหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิค เพราะในขณะนั้น มีความเชื่อมโยงระหว่าง
ภูมิภาคเพียง 2 กระแส คือ ความร่วมมือในกรอบเอเปค และความสัมพันธ์ ใกล้ชิดระหว่างอเมริกาและยุโรป
ที่เรียกว่า ทรานส์แอตแลนติก ในขณะที่การเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรปกลับหายไป ในระหว่างการประชุม
สุดยอดเอเปค ครั้งที่ 2 ที่เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2537ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย
(นายชวน หลีกภัย ) ได้พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และทั้งสองเห็นพ้องกันว่าควรมีการประชุม
ระหว่างผู้นำของเอเชียและยุโรป จากนั้นสิงคโปร์ ก็ได้ทาบทามสหภาพยุโรปโดยผ่านฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาที่
ประชุมคณะมนตรีก็ได้เห็นพ้องกับข้อเสนอนี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2538 โดยสิงคโปร์ได้เสนอ ให้ไทยเป็น
เจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดขึ้น
บทบาทของประเทศไทยในการประชุม ASEM ครั้งล่าสุด
1. ที่ประชุม ASEM 7 เมื่อวันที่ 24 – 25 ตุลาคม 2551 ณ กรุงปักกิ่ง ได้รับรองเอกสาร 3 ฉบับ ได้แก่
Chair’s Statement รวมทั้ง Beijing Declaration on Sustainable Development และ Statement of ASEM 7 on
the International Financial Situation โดยประเด็นที่ไทยได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ ความมั่นคงทาง
อาหารและความมั่นคงทางพลังงาน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอาเซียน ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่
ประชุมปิดและ Working Lunch เกี่ยวกับพัฒนาการของอาเซียน
2. ที่ประชุม ASEM FMM 9 เมื่อวันที่ 25 – 26 พฤษภาคม 2552 ณ กรุงฮานอย ได้รับรองเอกสาร 2 ฉบับ
ได้แก่ Chair’s Statement และ Statement of the 9th ASEM Foreign Ministers’ Meeting on the Nuclear Test Conducted
by the Democratic People’s Republic of Korea on May 25, 2009 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้กล่าวนำเกี่ยวกับพัฒนาการของอาเซียน และได้มี intervention ภายใต้หัวข้อเรื่อง Cooperation to Address the
Global and Financial Crisis เรื่อง Joint Efforts to Cope with Global Challenges และเรื่อง Dialogue Among
Cultures and Civilizations
กิจกรรมของไทยในกรอบ ASEM ในปี 2552
ในปี 2552 ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือด้านสังคม วัฒนธรรม และการศึกษา อาทิ
โครงการ ASEM Interfaith Cultural Youth Camp Project เมื่อวันที่ 6 – 12 กุมภาพันธ์ 2552 ณ กรุงเทพฯ
และอยุธยา จัดการประชุมทางวิชาการ ASEM Conference Lifelong Learning: e-Learning and Workplace
Learning ณ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 19-22 กรกฏาคม 2552
เอเปค (APEC)
ความเป็นมาของเอเปค (APEC)
"ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเซีย-แปซิฟิค" หรือ "เอเปค" จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532
เพื่อตอบสนองการพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจ ที่ขยายตัวมากขึ้นในหมู่ประเทศแถบเอเซีย-แปซิฟิค
โดยเริ่มต้นจากกลุ่มประเทศที่อยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิค ไม่กี่ประเทศรวมตัวกัน อย่างไม่เป็นทางการ
(Informal Dialogue Group) จนกลายเป็นเวทีหลัก ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
และการค้าเสรีอย่างจริงจังในที่สุด ทั้งนี้ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จุดมุ่งหมายหลักของเอเปค คือ
เสริมสร้างพลังทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิคให้ก้าวไปข้างหน้า และสร้างจิตสำนึก ที่จะ
รวมกันเป็นรูปกลุ่มความร่วมมือขึ้น โดยจะไม่จัดตั้งเป็นรูปแบบองค์กรถาวร เหมือนกลุ่ม
ประเทศอาเซียน หรือสหภาพยุโรป สมาชิกเอเปคทั้งหมด ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
รวมกันทั้งสิ้นกว่า US$19,293 พันล้านเหรียญสหรัฐ (US$ billion) หรือ 47.5%
ของการค้าโลกในปี พ.ศ. 2544 สมาชิกเอเปค (APEC Member Economies)
จำนวน 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี
สาธารณรัฐประชาชนจีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย
เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป
ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ผู้สังเกตการณ์ถาวร 3 หน่วยงาน คือ
สำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat), สภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ในภาคพื้นแปซิฟิค (Pacific Economic Cooperation Council - PECC),
และเวทีหารือแปซิฟิคใต้ (South Pacific Forum - SPF)
บทบาทของประเทศไทยในเอเปค
บทบาทของไทยในเอเปคอาจแบ่งได้เป็นสี่ช่วงหลักๆได้แก่
1. สมัยก่อตั้งเอเปค ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2535
ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี ในการประชุมครั้งนั้น นายอาสา สารสิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย
ที่ประชุมนี้ประกาศปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการ
เอเปค (APEC Secretariat) เป็นการถาวร ณ สิงคโปร์ ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทในการสนับสนุน
การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของเอเปคในมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไทยได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม
ในคณะทำงานต่างๆของเอเปคสม่ำเสมอ และได้เสนอโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและ
วิชาการ (ECOTECH) เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนจากงบประมาณกลางเอเปคในคณะทำ
งานต่างๆ เช่น คณะทำงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม เป็นต้น
2. สมัยวิกฤตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ในช่วงเวลาดังกล่าวไทยได้มีบทบาทนำในการ
รณรงค์ให้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในที่ประชุมผู้นำเศรษฐกิจครั้งที่ 5 เมื่อ
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ณ นครแวนคูเวอร์ แคนาดา เพื่อแสดงให้เห็นว่า เอเปคเป็น
องค์กรความร่วมมือที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และมีความสามารถในการตอบสนองต่อ
ปัญหาระดับภูมิภาคได้อย่างทันท่วงที ซึ่งผลจากการประชุมดังกล่าวสามารถสื่อสารให้สาธารณชน
รับทราบถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง
3. ช่วงการเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมเอเปค ไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการ
ประชุมเอเปคระดับผู้นำในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งได้รับคำชมและการยอมรับอย่างสูงถึงประสิทธิภาพใน
การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ทั้งในด้านสารัตถะและพิธีการ ในโอกาสดังกล่าวไทยได้เสนอให้เอเปค
ให้ความสำคัญกับประเด็นความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส
และไข้หวัดนก ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มทำงานด้านสาธารณสุข (Health Task Force) ซึ่งต่อมา
ได้มีบทบาทในด้านสาธารณสุขอื่น เช่น โรคเอดส์
4. ระยะวิกฤตการเงินโลก จากการที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการการเงินอย่างหนักในช่วงปี
พ.ศ. 2552 – 2553 ทำให้เอเปคต้องปรับตัวและร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้น
อย่างจริงจัง โดยอาศัยแนวความคิดในการสร้างยุทธศาสตร์ของความเจริญเติบโตแบบใหม่
(APEC Growth Strategy) ที่เน้นการสร้างการเจริญเติบโตอย่างสมดุล
(Balanced Growth) เท่าเทียม (Inclusive Growth) ยั่งยืน (Sustainable Growth)
และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้ (Knowledge-Based Growth) ทั้งนี้ ในที่ประชุมผู้นำ
เขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 17 ที่สิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2552 ไทยได้เสนอแนวปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับการ
ตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิก
องค์การสหประชาชาติ
ความเป็นมาขององค์การสหประชาชาติ
สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น (United Nations - UN) เป็นองค์การระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้น
อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นองค์การ
ระหว่างประเทศที่กำเนิดขึ้นเป็นองค์การที่สองในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ต่อจากสันนิบาตชาติ ปัจจุบัน
สหประชาชาติมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 192 ประเทศ (เกือบทุกประเทศในโลก) จุดประสงค์คือ
การนำทุกชาติทั่วโลกมาทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพและการพัฒนาโดยอยู่บนหลักพื้นฐานของ
ความยุติธรรม ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และความกินดีอยู่ดีของทุกคน นอกจากนี้ยังให้โอกาสประเทศต่าง ๆ
สร้างดุลแห่งการพึ่งพาอาศัยกันและรักษาผลประโยชน์ชาติในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรม ให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชน
และเป็นศูนย์กลางในการร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ จากจุดเริ่มต้นที่สหประชาชาติกำเนิด
ขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองโดยฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงคราม ทำให้โครงสร้างขององค์การสะท้อน
ถึงสภาวะในขณะที่ก่อตั้ง สหประชาชาติมีสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงอยู่ 5 ประเทศ
อันประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน (แทนที่สาธารณรัฐจีน) ฝรั่งเศส รัสเซีย
(แทนที่สหภาพโซเวียต) สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา สมาชิกถาวรทั้ง 5 ชาติมีอำนาจยับยั้ง
ในมติใด ๆ ก็ตามขององค์การความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมีผลกระทบต่อ
การตอบสนองและการตัดสินใจของสหประชาชาติ ความตึงเครียดในสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา
กับสหภาพโซเวียตส่งผลต่อการดำเนินงานของ องค์การในช่วง 45 ปีแรกหลังการก่อตั้ง เมื่อสงคราม
โลกครั้งที่สองผ่านพ้นไป การปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปแอฟริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง
ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 6 องค์กรหลัก ได้แก่ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ
คณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ และ
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่น องค์การอนามัยโลก
ยูเนสโก และยูนิเซฟ เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มักเป็นที่รู้จักและปรากฏตัวต่อสาธารณชนคือ
เลขาธิการสหประชาชาติ ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งนี้ คือ นายปัน กี มุน ชาวเกาหลีใต้
เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ต่อจากโคฟี อันนัน
บทบาทของประเทศไทยในองค์การสหประชาชาติ
ประเทศไทยจัดเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญต่อองค์การสหประชาชาติประเทศไทยได้มีส่วนร่วม
ในปฏิบัติการเพื่อสันติภาพและได้ ร่วมสัตยาบันเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนในหลายๆด้าน
เช่น สิทธิแรงงาน และสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อม ในประเทศไทยมีองค์กรสหประชาชาติกว่า
25 องค์กรที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร และขณะเดียวกันหลายองค์กรเป็นสำนักงานประจำ
ภูมิภาคให้การสนับสนุนด้านงานปฏิบัติการให้แก่สำนักงาน ประจำในประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้
หน่วยงานของสหประชาชาติมุ่งเน้นดำเนินโครงการในประเทศไทยโดยเฉพาะได้รวมตัวกัน
เป็นทีมงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNCT) โดยมีผู้ประสานงาน องค์การ
สหประชาชาติเป็นผู้นำ ทีมงานสหประชาชาติแห่งประเทศไทยทำงานร่วมกันในการวิเคราะห์
สถานการณ์ในประเทศ วางแผนงาน ดำเนินงานโครงการ ประเมินผลงานและผลักดันให้เกิด
การเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อผนึกการเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาระหว่างองค์การสหประชาชาติ
และรัฐบาลไทยในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษและวาระแห่งสหประชาชาติ
ในระดับโลกให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
สมาชิกในกลุ่ม
2.น.ส.อริสา แก้วทองมี ชั้น ม.5/1 เลขที่ 8
3.น.ส.เพชรรัตน์ บึงราษฎร์ ชั้น ม.5/1 เลขที่ 9
4.นายธนา นิพัทธมานนท์ ชั้น ม.5/1 เลขที่ 14
http://www.bic.moe.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=189&Itemid=150
http://blog.eduzones.com/offy/4475
http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=2203.0
http://www.mfa.go.th/web/2137.php?id=3894
จัดยากมาก แต่ก็พยายามสุดความสามารถแล้วนะคะ ^^