พายุ
รายงาน
ศ.ดร.จอห์นนี่ ซี.แอล. ชาน นักวิทยาศาสตร์ด้านชั้นบรรยากาศ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโด ผู้เคยทำหน้าที่นักสังเกตการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยา สถาบันรอยัล ออบเซอร์เวตอรี ฮ่องกง อธิบายถึงใต้ฝุ่น ว่า เนื่องจากบริเวณเขตร้อนมีน่านน้ำอุ่นที่สุดในโลกอยู่ทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ จึงเป็นแหล่งกำเนิดพายุลูกใหญ่และรุนแรงที่สุด ซึ่งเมื่อก่อตัวในระยะทาง
สำหรับประเทศไทย จากสถิติ 48 ปี ระหว่าง พ.ศ.2494-2541 พบว่าพายุหมุนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 164 ลูก ส่วนใหญ่เป็นดีเปรสชั่น มี 11 ครั้งที่ไม่ใช่ และ 1 ครั้งที่เป็นไต้ฝุ่น นั่นคือ "เกย์" ที่มีศูนย์กลางอยู่ในอ่าวไทยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ อ.เมือง จ.ชุมพร เคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่งบริเวณ อ.ปะทิว และ อ.ท่าแซะ ชุมพร ด้วยความเร็วประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2532
ก่อให้เกิดฝนตกหนักตั้งแต่ จ.เพชรบุรี ลงไป โดยเฉพาะ จ.ชุมพรและประจวบคีรีขันธ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า อาคารบ้านเรือนเรือกสวนไร่นาพินาศในชั่วระยะเวลา 3-4 ชั่วโมงที่เกย์โหม เรือประมง เรือเดินทะเล และเรือขุดเจาะสำรวจก๊าซธรรมชาติได้รับความเสียหายและประสบภัยพิบัติหลายร้อยลำ ผู้คนเสียชีวิตทั้งบนบกและในทะเลไม่ต่ำกว่า 1,000 คน นับเป็นพายุที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากที่สุดในประเทศไทย
พายุหมุนเขตร้อน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถทำความเสียหายได้รุนแรง และเป็นบริเวณกว้างมีลักษณะเด่น คือ มีศูนย์กลางหรือที่เรียกว่า ตา[[พายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ อากาศโปร่งใส โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อยล้อมรอบด้วยพื้นที่บริเวณกว้างรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งปรากฏฝนตกหนักและพายุลมแรง ลมแรงพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลาง ดังนั้น ในบริเวณที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่ผ่าน ครั้งแรกจะปรากฏลักษณะอากาศโปร่งใส เมื่อด้านหน้าของพายุหมุนเขตร้อนมาถึงจะ ปรากฏลมแรง ฝนตกหนักและมีพายุฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและอาจปรากฏพายุทอร์นาโด ในขณะตาพายุมาถึง อากาศจะโปร่งใสอีกครั้ง และเมื่อด้านหลังของพายุหมุนมาถึงอากาศจะเลวร้ายลงอีกครั้งและรุนแรงกว่าครั้งแรก
พายุหมุนเขตร้อน
พายุหมุนเขตร้อน เป็นพายุหมุนที่เกิดในทะเลหรือมหาสมุทรในโซนร้อน โดยมีชื่อเรียกตามแหล่งที่เกิด เช่น พายุดีเปรสชั่น พายุโซนร้อน พายุไต้ฝุ่นเป็นพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือทะเลจีนใต้ สำหรับพายุเฮอริเคนเป็นพายุที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลคาริบเบียน อ่าวเม็กซิโกและทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ และพายุไซโคลนเป็นพายุที่เกิดในมหาสมุทรอินเดีย พายุหมุนเหล่านี้จะมีความแรงมาก โดยมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุ 50 กม./ชม. ขึ้นไป และสามารถมีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางพายุได้มากกว่า 250 กม./ชม. สำหรับพายุไต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน และพายุไซโคลน
ชนิดและการกำหนดชื่อพายุเขตร้อน
พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจำนวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน ลมพัดเวียนเป็นวนทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือ พายุหมุนในแต่ละช่วงของความรุนแรงจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม ความเร็วลมในระบบหมุนเวียนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ ในขณะเป็นพายุดีเปรสชั่นความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าไม่เกิน 33 นอต ในขณะที่เป็นพายุโซนร้อนความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าอยู่ระหว่าง 34 – 63 นอต และในขณะเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือไต้ฝุ่น ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางจะมีค่าตั้งแต่ 64 นอตขึ้นไป ดังนั้นสามารถแบ่งชนิดของพายุเขตร้อนได้ดังนี้
- ดีเปรสชั่น (Depression) สัญลักษณ์ D ความเร็วสูงสุด 33 นอต (17 เมตร/วินาที) (62 กิโลเมตร/ชั่วโมง)ไม่นับเป็นพายุหมุน
- พายุเขตร้อน (Tropical Storm) สัญลักษณ์ S ความเร็วสูงสุด 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที) (63-172 กิโลเมตร/ชั่วโมง)ไม่นับเป็พายุหมุน
- พายุหมุนเขตร้อน ความเร็วสูงสุด 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที) (118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) นับเป็นพายุหมุน
พายุหมุนเขตร้อน ทั้ง 3 ประเภทมีการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น พายุดีเปรสชั่นเมื่อมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางเพิ่มขึ้นจะกลายเป็นพายุโซนร้อนหรือพายุไต้ฝุ่น ในขณะเดียวกันเมื่อพายุไต้ฝุ่นลดความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางลงจะกลายเป็นพายุโซนร้อนหรือพายุดีเปรสชั่น และเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้วจึงสลายตัวไปในที่สุด
ลักษณะเฉพาะ
พายุไซโคลนหรือพายุหมุนเขตร้อนซึ่งจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต(30 เมตร/วินาที , 74 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 118 กิโลเมตร/ ชั่วโมง) ขึ้นไป และมักจะมี “ตา” ซึ่งเป็นบริเวณที่ลมค่อนข้างสงบและมีความกดอากาศค่อนข้างต่ำอยู่กลางวงหมุน ตาพายุนี้จะเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายดาวเทียมเป็นวงกลมเล็กที่ไม่มีเมฆ รอบตาจะมีกำแพงล้อมที่มีขนาดกว้างประมาณ 16-
โครงสร้างของพายุหมุนเขตร้อน
การเคลื่อนตัวของเมฆรอบศูนย์กลางพายุก่อตัวเป็นรูปขดวงก้นหอยที่เด่นชัด แถบหรือวงแขที่อาจยื่นโค้งเป็นระยะที่ยาวออกไปได้มากในขณะที่เมฆถูกดึงเข้าสู่วงหมุน ทิศทางวงหมุนของพายุขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดว่าอยู่ ณ ส่วนใดของซีกโลกดังกล่าวแล้ว หากอยู่ซีกโลกเหนือ พายุจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ด้านซีกโลกใต้จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ความเร็วสูงสุดของพายุหมุนเขตร้อนที่เคยวัดได้มีความเร็วมากกว่า 85 เมตร/วินาที (165 นอต, 190 ไมล์/ชั่วโมง, 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง) พายุที่รุนแรงมากและอยู่ในระยะก่อตัวช่วงสูงสุดบางครั้งอาจมีรูปร่างของโค้งด้านในแลดูเหมือนอัฒจรรย์สนามแข่งขันฟุตปอลได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า “ปรากฏการณ์อัฒจรรย์” (stadium effect)
พายุหมุนที่สร้างความเสียหายมากที่สุด
พายุหมุนเขตร้อนแกลวิสตัน นับเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือพายุเฮอร์ริเคนที่สร้างความเสียหายหนักมากพายุหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ เส้นทางของเฮอร์ริเคนแกลวิสตันเมื่อ พ.ศ. 2443พายุหมุนเขตร้อนแกลวิสตัน หรือ "เฮอร์ริเคนแกลวิสตัน" ขึ้นฝั่งในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2443 พายุนี้เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกและขึ้นฝั่งที่เมืองแกลวิสตัน รัฐเทกซัส มีความเร็วลม 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง จัดอยู่ในพายุเฮร์ริเคนประเภท 4 ตามมาตรวัดพายุซิมป์สัน ทำให้เมืองแกลวิสตันเสียหายอย่างหนักและมีผู้เสียชีวิตมากถึง 8,000 คน และหากนับการเสียชีวิตที่อื่นด้วยประมาณว่าอาจรวมได้ถึง 12,000 คน จัดเป็นพายุเฮอร์รเคนแอตแลนติกที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกหลัง "มหาพายุเฮอร์ริเคนแห่งปี พ.ศ. 2323" และ "เฮอร์ริเคนมิทช์" เมื่อ พ.ศ. 2541 แต่นับเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายและคร่าชีวิตผู้คนอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา
แหล่งกำเนิดของพายุหมุนเขตร้อน
บริเวณแหล่งกำเนิดของพายุหมุนแบ่งออกเป็น 6 บริเวณ
ระยะเวลาที่เกิดของพายุหมุนเขตร้อน
พายุหมุนเขตร้อนมักจะมีเวลาเกิดและบริเวณที่เกิดแน่นอน เช่น พายุหมุนที่เกิดบริเวณหมู่เกาะอินดิสตะวันตก ส่วนมากจะเกิดอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงพฤศจิกายน ส่วนพายุหมุนเกิดบริเวณชายชั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ แถบอ่าวเบงกอลและบริเวณทะเลอาหรับจะมีเกิดตลอดปี แต่ส่วนมากเกิดอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงพฤศจิกายน พายุหมุนบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกใต้และมหาสมุทรอินเดียใต้ จะเกิดอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน พายุหมุนส่วนมากมักจะเกิดในฤดูร้อนของแต่ละซีกโลก
คือพายุหมุนเขตร้อน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถทำความเสียหายได้รุนแรง และเป็นบริเวณกว้างมีลักษณะเด่น คือ มีศูนย์กลางหรือที่เรียกว่า ตาพายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ อากาศโปร่งใส โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อยล้อมรอบด้วยพื้นที่บริเวณกว้างรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งปรากฏฝนตกหนักและพายุลมแรง ลมแรงพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลาง ดังนั้น ในบริเวณที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่ผ่าน ครั้งแรกจะปรากฏลักษณะอากาศโปร่งใส เมื่อด้านหน้าของพายุหมุนเขตร้อนมาถึงจะ ปรากฏลมแรง ฝนตกหนักและมีพายุฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและอาจปรากฏพายุทอร์นาโด ในขณะตาพายุมาถึง อากาศจะโปร่งใสอีกครั้ง และเมื่อด้านหลังของพายุหมุนมาถึงอากาศจะเลวร้ายลงอีกครั้งและรุนแรงกว่าครั้งแรก
พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจำนวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน ลมพัดเวียนเป็นวนทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือ พายุหมุนในแต่ละช่วงของความรุนแรงจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม ความเร็วลมในระบบหมุนเวียนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ ในขณะเป็นพายุดีเปรสชั่นความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าไม่เกิน 33 นอต ในขณะที่เป็นพายุโซนร้อนความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าอยู่ระหว่าง 34 – 63 นอต และในขณะเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือไต้ฝุ่น ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางจะมีค่าตั้งแต่ 64 นอตขึ้นไป ดังนั้นสามารถแบ่งชนิดของพายุเขตร้อนได้ดังนี้
ดีเปรสชั่น (Depression) สัญลักษณ์ D ความเร็วสูงสุด 33 นอต (17 เมตร/วินาที) (62 กิโลเมตร/ชั่วโมง)ไม่นับเป็นพายุหมุน
พายุเขตร้อน (Tropical Storm) สัญลักษณ์ S ความเร็วสูงสุด 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที) (63-172 กิโลเมตร/ชั่วโมง)ไม่นับเป็นพายุหมุน
พายุหมุนเขตร้อน ความเร็วสูงสุด 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที) (118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) นับเป็นพายุหมุน
การกระจายตัวของพายุหมุนเขตร้อนของโลกระหว่าง พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2548พายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกและมีความแรงของลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 33 นอต จะเริ่มมีการกำหนดชื่อเรียก โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกได้จัดรายชื่อเพื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้เป็นสากล เพื่อทุกประเทศในบริเวณนี้ใช้เพื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวขึ้น โดยเรียงตามลำดับให้เหมือนกัน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ได้เกิดระบบการตั้งชื่อพายุเป็นภาษาพื้นเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนบนและแถบทะเลจีนใต้ 14 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และไทย โดยนำชื่อมาเรียงเป็น 5 สดมภ์ เริ่มจากกัมพูชาจนถึงเวียดนามในสดมภ์ที่ 1 เมื่อหมดแล้วให้เริ่มขึ้นสดมภ์ที่ 2 ถึง 5 แล้วจึงเวียนมาเริ่มที่สดมภ์ 1 อีกครั้ง จนกว่าจะมีการกำหนดชื่อพายุครั้งใหม่อีก
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก'พายุหมุนเขตร้อน ที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก และพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเราเรียกว่า ไซโคลน แม้พายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดียจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ก็สามารถก่อความเสียหายต่อประเทศไทยได้เช่นกัน เมื่อทิศการเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณใกล้ประเทศไทยทางด้านตะวันตก ในกรณีของพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้นั้นจะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทยในบริเวณต่างๆ ของประเทศแตกต่างกันตามฤดูกาล
(ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
ลักษณะเฉพาะ
พายุไซโคลนหรือพายุหมุนเขตร้อนซึ่งจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต(30 เมตร/วินาที , 74 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 118 กิโลเมตร/ ชั่วโมง) ขึ้นไป และมักจะมี “ตา” ซึ่งเป็นบริเวณที่ลมค่อนข้างสงบและมีความกดอากาศค่อนข้างต่ำอยู่กลางวงหมุน ตาพายุนี้จะเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายดาวเทียมเป็นวงกลมเล็กที่ไม่มีเมฆ รอบตาจะมีกำแพงล้อมที่มีขนาดกว้างประมาณ 16-
โครงสร้างของพายุหมุนเขตร้อนการเคลื่อนตัวของเมฆรอบศูนย์กลางพายุก่อตัวเป็นรูปขดวงก้นหอยที่เด่นชัด แถบหรือวงแขที่อาจยื่นโค้งเป็นระยะที่ยาวออกไปได้มากในขณะที่เมฆถูกดึงเข้าสู่วงหมุน ทิศทางวงหมุนของพายุขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดว่าอยู่ ณ ส่วนใดของซีกโลกดังกล่าวแล้ว หากอยู่ซีกโลกเหนือ พายุจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ด้านซีกโลกใต้จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ความเร็วสูงสุดของพายุหมุนเขตร้อนที่เคยวัดได้มีความเร็วมากกว่า 85 เมตร/วินาที (165 นอต, 190 ไมล์/ชั่วโมง, 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง) พายุที่รุนแรงมากและอยู่ในระยะก่อตัวช่วงสูงสุดบางครั้งอาจมีรูปร่างของโค้งด้านในแลดูเหมือนอัฒจรรย์สนามแข่งขันฟุตปอลได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า “ปรากฏการณ์อัฒจรรย์” (stadium effect)
วงหมุนที่เกิดผนังตาพายุจะเกิดตามปกติเมื่อพายุมีความรุนแรงมาก เมื่อพายุแรงถึงขีดสุดก็มักจะเกิดการหดตัว ของรัศมีกำแพงตาพายุเล็กลงถึงประมาณ 8-
ดังนั้น การเตรียมพร้อมเพื่อรับสภาวะวิกฤตินั้นยังจำเป็นอยู่น๊ะครับ ควรตรวจสอบตามวงรอบทุก 3-6 เดือนโดย
1. อาหาร/น้ำ สำรองในบ้านของเรา ที่ควรมีเพียงพอ 2 สัปดาห์ ถ้าที่มีอยู่เก่าจวนหมดอายุ ก็ทานของเก่า ซื้อของใหม่มาเก็บแทน คนที่เลี้ยงสัตว์ ควรมีอาหารสัตว์ไว้ด้วย
2. ในพม่า ขาด น้ำ อาหาร และไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิง ควรคิดไว้ก่อนเลยว่าจะสำรองพลังงานอย่างไร
3. การสื่อสาร โทรศัพท์เซลูล่าและสายโทรศัพท์ แทบไร้ความหมาย ทั้งสายขาดและไม่มีกระแสไฟฟ้า ควรมีวิทยุ รับ-ส่ง และ วิทยุเพื่อเปิดรับฟังข่าวสาร (ทีวี พึ่งไม่ค่อยได้เพราะหาทีวีใส่ถ่านไม่ได้)
4. มีด ไฟ เวชภัณฑ์ ผ้าใบ-เต็นท์ เชือก เสื้อผ้าสำรอง อาวุธปืน+กระสุน ยังอยู่ดีหรือเปล่า รวบรวมไว้อย่าทิ้งระเกะระกะต่างที่กัน เมื่อต้องการใช้ จะได้หยิบได้อย่างทันท่วงทีเมื่อมีประกาศอพยพ
มีแน้วโน้มว่าพายุใหญ่อาจมีโอกาสเข้ามาไทยจากมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งการทำลายของพายุนั้นรุญแรงว่าคลื่นซึนามิ เพราะพายุสามารถวิ่งจากฝั่งทะเลข้ามาบนบกได้ไกลกว่าคลื่นซึนามิมาก การทำลายล้างของพายุจะเป็นวงกว้าง จึงไม่ควรตั้งตนด้วยความประมาท