รายงาน ปัญหามลภาวะทางเสียง อากาศน้ำ และ สารอันตรายจัดทำโดยนาย พชร พิมพิลา เลขที่ 9 ม.5/4นาย อริญชัย บุญลำพันธ์ เลขที่ 10 ม.5/4นาย พรเทพ นามะสนธิ เลขที่ 7 ม.5/4นาย ชาติเฉลิมพล ประถังธานี เลขที่ 1 ม.5/4นาย เกียรติศักดิ์ ธาระพุฒิ เลขที่ 19 ม.5/4นาย ระพีพัฒน์ พิณธารทอง เลขที่ 11 ม.5/4
มลภาวะทางเสียง มลพิษทางเสียงเกิดขึ้นตามความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งนี้การนำเอาเครื่องจักรมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม การใช้ยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยกำลังเคลื่อนหน้า การก่อสร้างอาคารด้วยเครื่องมือขนาดใหญ่เหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงทั้งสิ้น เสียงที่ดังเกินขนาดแล้วย่อมทำให้เกิดอันตรายต่อระบบการได้ยินต่อจิตใจ และต่อสุขภาพส่วนความรุนแรงของอันตรายที่ได้รับนั้นขึ้นอยู่กับความดัง พบว่า ผู้ทีอาศัยอยู่ในที่ๆ มีระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เกินกว่า 70 เดซิเบลเอ เป็นเวลานานๆ จะมีผลทำให้ประสาทหูเสื่อมได้
แหล่งมลพิษทางเสียงอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. จากยานพาหนะส่วนใหญ่มีสาเหตุจากท่อไอเสียรถยนต์ แตร เบรค เครื่องเรือหางยาว เป็นต้น ปัจจุบันตามเมืองขนาดใหญ่ๆ มักมีระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงกว่า 70 เดซิเบล โดยเฉพาะบริเวณที่มีการจราจรหนาเน่นและมีตึกแถวเรียงรายอยู่ 2 ฟากถนน 2. จากสถานประกอบการต่างๆได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม โรงมหรสพ สถานเริงรมย์ ต่างๆ จากการสำรวจปรากฎว่าเสียงจากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปมีระดับเสียงดัง 60 -120 เดซิเบลเอ ก่อให้เกิดอันตรายแบบค่อยเป็นค่อยไปกับคนงานทำให้คนงานไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการหูงตึงที่เกิดขึ้นกับตนเอง
มลพิษทางอากาศปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ประเทศไทยจะพบปัญหาดังกล่าวมากในพื้นที่อยู่ริมถนนที่มีการจราจรหนาแน่นหรือบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานบางแห่ง
กรุงเทพมหานครต้องประสบกับปัญหาอากาศเสียมากที่สุด เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและมีการจราจรหนาแน่น ซึ่งมีบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นจะพบปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากยานพาหนะสูง มลพิษทางอากาศที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ มักจะมาจากแหล่งต่างๆ ดังนี้
การคมนาคมขนส่ง การจราจรในท้องถนน
การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากแหล่งอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันหรือถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
การเผาไหม้จากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
การประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น การเผาขยะมูลฝอย การสูบบุหรี่
มลพิษทางน้ำน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งน้ำเสียจากขบวนการผลิต การล้าง ขบวนการ หล่อเย็น เป็นต้น แม้ว่าจะมีกฏหมายบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องบำบัดน้ำทิ้งเหล่านี้ก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้อย่างทั่วถึงอาคารบ้านเรือนและชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนเขตเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นทุกครัวเรือนปล่อยน้ำทิ้งสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง มิได้ผ่านขบวนการกำจัดใดๆ การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในกระบวนการเพาะปลูกมักมีการใช้ปุ๋ยและสารเคมีป้องกัน กำจัดศัตรูพืชและสัตว์ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้อย่างขาดความระมัดระวัง ทำให้สารเคมีแพร่กระจายสู่แหล่งน้ำซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการฉีดพ่นสาร การชะล้างโดยฝน การล้างภาชนะที่บรรจุหรืออุปกรณ์การฉีดพ่นในแหล่งน้ำ
สารอันตรายหมายถึงสารที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้แก่ สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ อาทิ ดีดีที และสารพิษจากขบวนการอุตสาหกรรม เช่น ตะกั่ว แมงกานีส ปรอท เป็นต้น บางชนิดก็มีคุณสมบัติสลายตัวได้ภายในเวลาอันรวดเร็วแต่บางชนิดก็สลายตัวช้าหรือไม่สลายตัวเลยทำให้สารมลพิษสามารถมีฤทธิ์ตกค้างในสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ ผลผลิตทางการเกษตร ห่วงโซ่อาหาร เป็นต้นโดยเฑาะในห่งงโซ่อาหาร สารมลพิษ เช่น สาหร่าย แพลงตอนจากผู้บริโภคขั้นที่ 2 เช่น ปลา กุ้ง หอย เป็นต้น และในที่สุดถ่ายทอดไปยังมนุษย์อันเป็นผู้บริโภคขั้นสูงสุด สารมลพิษสามารถเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ ทั้ง 3 ทาง คือ ทางปาก ทางจมูก และทางผิวหนัง สารมลพิษทั้งสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ และสารจากกระบวนการอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและด้านการพัฒนาประเทศควรมีมาตรการและการควบคุมการใช้สารมลพิษ เพื่อป้องกันให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
แหล่งที่มา http://www.tungsong.com/Environment/Eco/Problem.asp
แหล่งอ้างอิง:
http://www.tungsong.com/Environment/Eco/Problem.asp
- -*