เมื่อเราพูดถึงการสะกดจิตเราก็มักจะนึกถึงภาพของคนที่กำลังสะกดจิตคนอื่นให้ทำตามความต้องการของเขาด้วยการแกว่งสายลูกตุ้มนาฬิกาไปมาและพูดว่า “ตอนนี้คุณกำลังง่วงนอนมาก”

แต่ในความเป็นจริงนั้นการสะกดจิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้ใครง่วงนอนแต่มันหมายถึงการผ่อนคลายจิตใจในช่วงระหว่างที่เรากำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เราสามารถเข้าสู่ภาวการณ์สะกดจิตได้ทุกวัน  อย่างเช่น  ในทุกๆครั้งที่เราดูภาพยนตร์หรืออ่านหนังสือ  เราจะถูกดึงเข้าไปมีอารมณ์ร่วม  ทั้งๆที่รู้ว่านี้ไม่ใช่ความจริง แล้วกระบวนการสะกดจิตเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น  ความเชื่อเรื่องการสะกดจิตตามหลักทางวิทยาศาสตร์นั้นเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18  โดย  ฟรานซ์  เมสเมอร์ ซึ่งเค้าเชื่อว่ามันเป็นพล้งอำนาจที่ลึกลับ  ที่ส่งผ่านจากผู้สะกดจิตไปยังผู้ที่ถูกสะกดจิต  คือ  การที่เรายอมละทิ้งจิตสำนึกของตนและปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำงานแทน โดยปกติแล้วจิตใต้สำนึกจะควบคุมการตอบสนองของร่างกายที่เป็นอัตโนมัติ  เช่น  การหายใจ  การเต้นของหัวใจ  และอื่นๆรวมทั้งความคิด  อารมณ์  ความทรงจำ  และความรู้สึกของเราก็ถูกเชื่อมต่อเข้ากับจิตให้สำนึกเช่นกัน  ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้การได้กลิ่นสามารถไปกระตุ้นอารมณ์และความจำได้ เมื่อเรานอนหลับเราจะสามารถเข้าถึงจึตใต้สำนึกทางการฝัน (ช่วงเวลาที่ไม่รู้ตัวน่ะจ่ะ) เช่นเดี่ยวกับการสะกดจิต  เมื่อยู่ในภาวะที่ไม่รู้ตัว  นักสะกดจิตจะสามารถติดติอได้โดยตรงกับจิตใต้สำนึกของเราผ่านทางกลไก  เช่น  เหตุผลทางตรรกวิทยา  บางคนที่อยู่ในสภาวะถูกสะกดจิตแบบผ่อนคลายจะสามารถเข้าถึงความทรงจำและประสบการณ์ที่โดยปกติแล้วถูกกลั่นกรองหรือถูกสกัดกั้นโดยจิตสำนึกได้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภาวการณ์สะกดจิตแสดงให้เห็นเห็นบนเครื่องมือวัดและบันทึกเคลื่อนสมองไฟฟ้า ว่ามีการเพิ่มระดับคลื่นสมองความถี่ต่ำ ( เกี่ยวข้องกับการนอนและการฝัน ) และลดคลื่นสมองความถี่ระดับสูงในช่วงระหว่างที่เราตื่น  และยังมีการเพิ่มกิจกรรมในสมองซีกขวาที่เกี่ยวข้องกัลป์สัญชาตญาณ จินตนาการ ละเก็บความจำด้านการได้ยินและการมองเห็นเอาไว้ พร้อมๆ กับที่ลดกิจรรมในสมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับตรรกวิทยา เหตุผล และสิ่งที่เป็นรูปธรรมต่างๆ หลักพื้นฐานในการสะกดจิต 4 ประการ 1.   จ้องไปที่ใดที่หนึ่ง : ผู้ถูกสะกดจิตต้องเพ่งมองไปที่จุดๆหนึ่งหรือวัตถุสักอย่างเพื่อแยกสิ่งอื่นๆออกจากความสนใจรอบตัว 2.   การควบคุมที่แข็งแกร่ง : วิธีนี้ค่อนข้างจะเป็นขั้นตอนรวบรัดบนพื้นฐานที่ว่าผู้ถูกสะกดจิตจะยอมแพ้ให้กับการควบคุมที่มีอำนาจมากกว่า  โดยจะได้ผลดีมากในการสะกดจิตขั้นลึก  เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาเชื่อและปฏิบัติตาม 3.  สูญเสียความสมดุล : เป็นการทำให้จิตใจและร่างกายสูญเสียสมดุล เช่น การแกว่งเด็กไปมา ซึ่งจะทำให้เด็กผ่อนคลายได้อย่างมาก หรือการขัดจังหวะทางอารมณ์ ซึ่งนักเทศน์บางคนนำมาใช้ในการดึงคนออกจากความสมดุล เพื่อทำให้คนเหล่านั้นมีสภาพที่ตกอยู่ในภวังค์4.   ผ่อนคลาย : ข้อนี้เป็นขั้นตอนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ผู้ถูกสะกดจิตจะได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตัวอย่างผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่กับการสร้างจินตนาการตามคำแนะนำด้วยเสียงที่นุ่มเบาของนักสะกดจิต       ขั้นตอนเหล่านี้จะใช้ได้ผลกับคนที่เชื่อว่าตนเองสามารถจะถูกสะกดจิตได้พร้อมทั้งรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลายและเต็มใจให้ความร่วมมือกับผู้ที่เขาเชื่อมั่นในความสามารถ รวมทั้งแรงกระตุ้นและพลังอำนาจของผู้สะกดจิต ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงก็เป็นผู้ที่มีความสามารถ    ในเรื่องการสะกดจิตแบบผ่อนคลาย เขาสามารถยกระดับสถานภาพและเพิ่มพลังอำนาจของตนเองรวมทั้งความน่าเชื่อถือที่ทุกคนยอมรับ  ซึ่งนี่ก็เป็นคุณสมบัติหลักๆของนักสะกดจิตที่ประสบความสำเร็จ