ภาษาอังกฤษง่ายมาก
![รูปภาพของ heman รูปภาพของ heman](http://202.44.68.33/files/profilepic/picture-26810.jpg)
กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การพูดที่ยอดเยี่ยม
ทักษะใดที่มีความสำคัญมากที่สุด? ทักษะใดที่คุณต้องใช้ในการสื่อสารให้ดีที่สุด?
แน่นอนที่สุด สิ่งแรกคือความคล่องแคล่ว แล้วความคล่องแคล่วคืออะไร? ความคล่องแคล่วคือความสามารถในการพูด (และเข้าใจ) ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจโดยไม่ต้องมีการตีความอีก
ความคล่องแคล่วหมายถึงคุณสามารถพูดกับเจ้าของภาษาได้อย่างง่ายดาย เขาเข้าใจที่คุณพูดและคุณเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ความจริงแล้วเมื่อคุณพูดไปแล้วคุณก็เข้าใจในทันที
ดังนั้นความคล่องแคล่วคือเป้าหมายสำคัญที่สุดของคุณ
การวิจัยได้ชี้ชัดแล้วว่า มีหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความคล่องแคล่ว
คุณจะไม่ได้รับความคล่องแคล่วจากการอ่านหนังสือ คุณจะไม่ได้รับความคล่องแคล่วจากโรงเรียนที่สอนภาษาอังกฤษ คุณจะไม่ได้รับความคล่องแคล่วจากการเรียนรู้กฎไวยากรณ์ต่างๆ
ทางภาษา
การฟังคือคือกุญแจสำคัญ
เพื่อให้ได้รับความคล่องแคล่ว คุณต้องฟังมากๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ นั่นคือวิธีเดียว การจะเป็นผู้พูดภาษาอังกฤษที่เป็นเลิศนั้น
คุณต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยหูของคุณไม่ใช่ด้วยตา หรือพูดอีกอย่างว่าคุณต้องฟัง
หูของคุณคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การพูดที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง
การฟังแบบไหนที่ดีที่สุด?
นั่นก็คือการฟังในสิ่งสามารถเข้าใจได้และฟังซ้ำๆ ทั้งสองคำนี้สำคัญมากคือ ฟังในสิ่งที่เข้าใจความหมายและฟังซ้ำๆ
ถ้าคุณฟังแล้วไม่เข้าใจ คุณก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย คุณจะไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ทำไมการฟังรายการโทรทัศน์ภาษาอังกฤษจึงไม่ได้ช่วยอะไรคุณ เพราะส่วนใหญ่คุณไม่เข้าใจ มันยากเกินไป
และเร็วเกินไปที่จะทำอย่างนั้น
มันชัดเจนแล้วใช่ไหม? ถ้าคุณไม่เข้าใจคุณก็ไม่พัฒนา ดังนั้นการฟังเนื้อหาที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่ง่าย ถูกต้องไหม?
คุณควรฟังเนื้อหาภาษาอังกฤษที่ง่ายๆ
นักเรียนส่วนใหญ่มักจะฟังภาษาอังกฤษที่ยากเกินไป จึงไม่เข้าทำให้การเรียนรู้ไปได้ช้า
ฟังเนื้อหาภาษาอังกฤษที่ง่ายแล้วการพัฒนาการพูดของคุณจะไปได้เร็วกว่า
ความเข้าใจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสูตร
ความเข้าใจอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เราต้องทำซ้ำๆ
ถ้าคุณได้ฟังคำศัพท์ใหม่หนึ่งคำเพียงหนเดียว คุณจะลืมในไม่ช้า ถ้าฟัง 5 ครั้งคุณก็ยังมีโอกาสลืมได้อีก
คุณต้องฟังคำใหม่ๆ
และกฎไวยากรณ์ใหม่ๆ หลายๆ ครั้งก่อนที่คุณจะเข้าใจอย่างถาวร
แล้วกี่ครั้งจึงจะพอ? คนส่วนใหญ่ต้องฟังคำใหม่เพียงหนึ่งคำถึง 30
ครั้งจึงจะจำตลอดไป
เพื่อให้รู้และเข้าใจคำหนึ่งๆได้อย่างถ่องแท้นั้น ควรได้ฟัง 50-100 ครั้งเลยทีเดียว
นั่นคือเหตุผลที่ผมให้นักเรียนของผมได้ฟังเนื้อหาทั้งหมดหลายๆ ครั้ง ผมได้บอกกับนักเรียนให้ฟังเรื่องสั้นๆ,
คำศัพท์, ใจความสำคัญของเรื่องและอื่นๆ
ทุกวัน ผมย้ำไว้ว่าต้องใช้เวลารวมฟัง 30
ครั้ง(เช่น สองครั้งต่อวันในเวลาสองสัปดาห์เป็นต้น)
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสองประการคือ ฟังเนื้อหาภาษาอังกฤษที่ง่ายและฟังซ้ำๆ
คำแนะนำสำหรับการฟังที่ทรงพลังและการพูดยอดเยี่ยม
1. ฝึก “ฟังอย่างเจาะจง” การฟังอย่างเจาะจง
หมายถึง การฟังจากหลายๆ สื่อในหัวข้อเดียวกัน
วิธีนี้จะได้ผลมากกว่าการพยายามฟังจากหลายๆ เรื่อง นักเรียนที่ฟังในสิ่งที่คล้ายๆ
กันจะเรียนรู้ได้เร็วและพูดได้ดีกว่านักเรียนที่ฟังเนื้อหาที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถรับฟังหลายๆ สิ่งจากบุคคลหนึ่งคน ฟังเสียงเขาจากเครื่องเล่น
เสียงประกอบการใช้หนังสือของเขาและการฟังการพูดของเขาสดๆ
อย่างนี้จะได้ผลกว่าเพราะผู้พูดทุกคนจากมีการใช้คำศัพท์และไวยากรณ์ที่ตนชอบ เขาจะพูดซ้ำๆ โดยธรรมชาติ การฟังหลายๆ เรื่องจากบุคคลคนเดียวกันคุณจะได้รับการฟังคำศัพท์ที่ซ้ำๆ
อย่างอัตโนมัติ
คุณจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าและลึกซึ้งกว่า
ตัวอย่างอื่นคือการโฟกัสหรือเจาะจงที่หัวใจหลักเดียว เช่น
คุณสามารถอ่านหนังสือง่ายๆ ฟังเสียงจากสื่อในเนื้อความเดียวกัน ฟังเสียงเกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน และชมภาพยนตร์เดียวกันกับเสียงที่ฟัง เป็นต้น
ผมทำอย่างนี้กับนักเรียนของผมในฟรานซานซิสโก พวกเราอ่านหนังสือ “ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแล็ต” จากนั้นเราได้ฟังเสียงที่มีเนื้อหาจากหนังสือ จากนั้นเราได้ชมภาพยนตร์(ฟังเสียงไปด้วย) จากนั้นเราได้ฟังบทสัมภาษณ์ของนักแสดง นักเรียนของผมได้เรียนรู้คำศัพท์มากมายในช่วงเวลาสั้นและพวกเขาสามารถพัฒนาการพูดได้เร็วมาก
2. การแบ่งเวลาในการฟัง การฟังเป็นเวลา 2
ชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่มีการหยุดพัก
กับการฟังที่มีการแบ่งเวลาฟังเป็นช่วงๆ อย่างไหนจะดีกว่า? แน่นอนที่สุด
การแบ่งเวลาฟังเป็นช่วงๆ ย่อมจะดีที่สุด
การแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ ในแต่ละวันนั้น คุณจะจำได้ดีและเร็วกว่าด้วย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าถ้าได้ฟัง 30 นาทีในตอนเช้า แล้วอีก
30
นาทีขณะนั่งอยู่ในรถหรือรถไฟ
แล้วอีก 30 นาทีเมื่อกลับมาถึงบ้านหลังเลิกงาน และอีก
30 นาทีก่อนนอน ความจริงแล้วนี่คือตารางเวลาที่ผมได้เน้นย้ำให้กับนักเรียนของผมนั่นเอง
3. ใช้เครื่องเล่น iPod หรือ MP3 ให้เป็นประโยชน์ iPod
เป็นสิ่งที่ดีมาก คุณสามารถเก็บเสียงต่างๆ
ไว้ได้มากมาย
แล้วคุณยังสามารถนำไปได้ทุกที่
คุณสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษขณะเดิน
ขณะซื้อของ ขณะนั่งในรถ ขณะนั่งในรถไฟ
ขณะทำอาหาร เป็นต้น
ในส่วนของ iPod หรือ MP3 คุณไม่ต้องกังวลเรื่องแผ่นซีดี
คุณยังสามารถค้นหาสิ่งที่จะฟังได้จากอินเตอร์ซึ่งมีจำนวนมากมาย คุณสามารถหาบทเรียนต่างๆ เรื่องราวต่างๆ บทสนทนาต่างๆ รายการโทรทัศน์ บทสัมภาษณ์ต่างๆ ดาวน์โหลดเสียงมาใช้อย่างง่ายๆ แล้วนำไปใส่ใน iPod
ของคุณแล้วสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ทุกหนทุกแห่ง
4. ฟังจากภาพยนตร์ ภาพยนตร์เป็นแห่งเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง แต่คุณต้องใช้ให้ถูกต้อง อย่าไปชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง คุณจะไม่เข้าใจและคุณก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไร
เพียงแค่ชมเฉพาะบางตอนต่อสัปดาห์เท่านั้น (อาจจะใช้เวลาแค่
2-3 นาที) ดังนี้
ก)
เริ่มต้นด้วยการชมภาพยนตร์ช่วงสั้นๆ
ที่มีข้อความแปลคำพูดเป็นภาษาที่คุณเข้าใจก่อน
จากตรงนี้ทำให้คุณเข้าใจความหมายเดิมๆ ที่แท้จริง
ข)
ต่อไป
ชมภาพยนตร์ช่วงสั้นๆ ที่มีข้อความคำพูดเป็นภาษาอังกฤษ หยุดชั่วคราว
แล้วใช้พจนานุกรมค้นหาที่คุณไม่เข้าใจ
เขียนประโยคใหม่ๆ ลงสมุดบันทึก
ค)
ฟังภาพยนตร์ช่วงสั้นๆ ที่มีคำพูดเป็นภาษาอังกฤษนี้สัก
2-3 ครั้ง โดยไม่ต้องหยุด
ง)
ฟังภาพยนตร์ช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีคำพูดเป็นภาษาอังกฤษนี้สัก
2-3 ครั้ง
จ)
ทำซ้ำข้อ
ก)-ง) ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ในสัปดาห์ที่สอง ให้ไปชมภาพยนตร์ช่วงอื่นต่อไปและทำซ้ำๆ
อย่างนี้เช่นกัน
ภาพยนตร์จะจบหนึ่งเรื่องต้องใช้เวลานาน
แต่ดี
เพราะคุณได้พัฒนาการฟังและการพูดได้อย่างรวดเร็ว วิธีนี้ได้ผลดี
5. อ่านและฟังในเวลาเดียวกัน ขณะฟังและอ่านไปด้วยกันเป็นวิธีการที่ดี ในขณะที่คุณฟังแล้วอ่านไปด้วยนั้น
จะทำให้คุณได้รับการพัฒนาสำเนียงการพูดของคุณไปด้วย
การอ่านขณะที่กำลังฟังนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจในสิ่งที่ยากกว่า อ่านและฟังทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น หลังจากที่คุณได้ปฏิบัติเช่นนี้ 2-3
ครั้ง แล้วไม่ต้องใช้บทหรือข้อความจากกระดาษให้ฟังเพียงอย่างเดียว
คุณจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นและจะพัฒนาได้เร็วขึ้น ให้พยายามหาทั้งเสียงและบทพูดควบคู่เสมอ
เริ่มต้นที่คุณอ่านข้อความของผมและฟังเสียงโดยดาวน์โหลด
ข้อความจาก http://www.EffortlessEnglishClub.blogspot.com
เสียงจาก http://www.EffortlessEnglish.libsyn.com
แต่วิธีที่ดีกว่านั้นคือรับทั้งหนังสือและเสียง
(เช่น จากตัวอย่างข้างต้นคือ “ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแล็ต”)
พูดภาษาอังกฤษยอดเยี่ยมภายใน 6
เดือน
ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น
(และกฎ 7 ข้อจากไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของผม)
แล้วคุณจะพูดภาษาอังกฤษได้อย่างยอดเยี่ยม
ผมเป็นผู้สอนมากกว่า 10
ปี
นักเรียนทุกคนที่ปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้จะประสบความสำเร็จเสมอ วิธีการของ
The
Effortless English เป็นกุญแจที่จะนำไปสู่การพูดภาษาอังกฤษอย่างยอดเยี่ยม มันเป็นกุญแจสู่ความคล่องแคล่ว คุณแค่สละเวลาเพียง 6
เดือน 6
เดือนเท่านั้นคุณจะพูดได้อย่างง่ายดายกับเจ้าของภาษา 6
เดือนคุณจะพูดได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ 6
เดือนคุณจะรู้สึกสบายๆ เมื่อคุณพูดภาษาอังกฤษ
คุณได้พยายามกับวิธีเก่าๆ
แล้ว คุณได้พยายามกับตำราต่าง ๆ คุณได้พยายามในโรงเรียน คุณได้พยายามเรียนกฎไวยากรณ์
ได้เวลาแล้วที่จะลองสิ่งใหม่
โชคดี
หวังว่าคุณจะประสบความสำเร็จกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษต่อไป
A.J.
Hoge
ผู้อำนวยการศูนย์
Effortless English, LLC (ลองเข้าไปดูต้นฉบับ ไม่แน่ใจว่าแปลได้ถูกหรือเปล่า)
เรียนอ.เหมันต์
รบกวนอาจารย์ช่วยนำรายงานโครงการวิจัยฯ
ของท่านผอ.มาหะมะ อ.มาเรียม อ.อาสะมะห์ และ อ.ไซนับ
ขึ้น Weblog ด้วยนะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ