ดวงอาทิตย์
|
ข้อมูลจากการสังเกต |
ระยะห่างเฉลี่ย
วัดจากโลก |
1.496 × 1011 เมตร
(9.295 × 107 ไมล์)
(8.31 นาทีแสง) |
ความสว่างปรากฏ (V) |
−26.74m |
ความสว่างสัมบูรณ์ |
4.83m |
สเปกตรัม |
G2V |
ลักษณะเฉพาะในวงโคจร |
ระยะห่างเฉลี่ย
จากแกน ดาราจักรทางช้างเผือก |
~2.5 × 1020 เมตร
(8.2 × 1020 ไมล์)
(26,000 ปีแสง) |
คาบการโคจรครบรอบดาราจักร |
2.25–2.50 × 108 ปี |
อัตราเร็วในวงโคจร |
2.17 × 105 เมตรต่อวินาที
(7.12 × 105 ฟุตต่อวินาที) (โคจรรอบศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือก)
2 × 104 เมตรต่อวินาที
(6.6 × 104 ฟุตต่อวินาที) (สัมพัทธ์กับดาวดวงอื่น) |
ลักษณะเฉพาะทางฟิสิกส์ |
เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย |
1.392 × 109 เมตร (8.649 × 105 ไมล์)
(เทียบกับโลก 109 ดวง) |
รัศมีที่เส้นศูนย์สูตร |
6.955 × 108 เมตร |
ความยาวเส้นศูนย์สูตร |
4.379 × 109 เมตร
(2.717 × 106 ไมล์) |
ความแป้น |
9 × 10−6 |
พื้นที่ผิว |
6.088 × 1018 ตารางเมตร
(2.35 × 1012 ตารางไมล์)
(11,900 เท่าของโลก) |
ปริมาตร |
1.4122 × 1027 ลูกบาศก์เมตร
(3.38 × 1017 ลูกบาศก์ไมล์)
(1,300,000 เท่าของโลก) |
มวล |
1.9891 × 1030 กิโลกรัม
(2.191874 × 1027 ตัน)
(332,946 เท่าของโลก) |
ความหนาแน่นเฉลี่ย |
1,409 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
(88 ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต) |
ความเร่งโน้มถ่วงที่ผิวบริเวณเส้นศูนย์สูตร |
274.0 m/s2 (27.94 เท่าของโลก) |
ความเร็วหลุดพ้นวัดจากพื้นผิว |
617.7 กิโลเมตรต่อวินาที [2]
383.72 ไมล์ต่อวินาที
(55 เท่าของโลก) |
อุณหภูมิพื้นผิว |
5,778 เคลวิน [1]
(9,940.73 องศาฟาเรนไฮต์) |
อุณหภูมิโคโรนา |
5 ล้านเคลวิน
(9,000,000 องศาฟาเรนไฮต์) |
อุณหภูมิที่
แกน |
~15.71 ล้านเคลวิน [1]
(24,500,000 องศาฟาเรนไฮต์) |
กำลังส่องสว่าง (Lsol) |
3.846 × 1026 วัตต์ [1]
~3.75 × 1028 ลูเมน
(~98 ลูเมนต่อวัตต์) |
ความเข้มของการส่องสว่างเฉลี่ย (Isol) |
2.009 × 107 W/m2 sr |
ลักษณะเฉพาะของการหมุน |
ความเอียงวงโคจร |
7.25° [1]
(กับระนาบสุริยวิถี)
67.23°
(กับระนาบดาราจักร) |
ไรต์แอสเซนชัน
ของขั้วเหนือ[3] |
286.13°
(19 ชั่วโมง 4 นาที 30 วินาที) |
เดคลิเนชัน
ของขั้วเหนือ |
+63.87°
(63°52' เหนือ) |
คาบการหมุนดาราคติ
(ที่ละติจูด 16°) |
25.38 วัน [1]
(25 วัน 9 ชั่วโมง 7 นาที 13 วินาที) [3] |
(ที่เส้นศูนย์สูตร) |
25.05 วัน [1] |
(ที่ขั้ว) |
34.3 วัน [1] |
อัตราเร็วของการหมุน
(ณ เส้นศูนย์สูตร) |
7,284 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(4,530 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
ส่วนประกอบในโฟโตสเฟียร์โดยมวล |
ไฮโดรเจน |
73.46 % |
ฮีเลียม |
24.85 % |
ออกซิเจน |
0.77 % |
คาร์บอน |
0.29 % |
เหล็ก |
0.16 % |
กำมะถัน |
0.12 % |
นีออน |
0.12 % |
ไนโตรเจน |
0.09 % |
ซิลิกอน |
0.07 % |
แมกนีเซียม |
0.05 % |
ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีการค้นพบใหม่ |
ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย และดาวหาง ล้วนแล้วแต่โคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่สำคัญยิ่งต่อโลก เช่น ให้พลังงานแก่พืชในรูปของแสง และพืชก็เปลี่ยนแสงให้เป็นพลังงานในการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นน้ำตาล ตลอดจนทำให้โลกมีสภาวะอากาศหลากหลาย เอื้อต่อการดำรงชีวิตดวงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจนอยู่ร้อยละ 74 โดยมวล ฮีเลียมร้อยละ 25 โดยมวล และธาตุอื่นๆ ในปริมาณเล็กน้อย ดวงอาทิตย์จัดอยู่ในสเปกตรัม G2V ซึ่ง G2 หมายความว่าดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 5,780 เคลวิน (ประมาณ 5,515 องศาเซลเซียส หรือ 9,940 องศาฟาเรนไฮ) ดวงอาทิตย์จึงมีสีขาว แต่เห็นบนโลกเป็นสีเหลือง เนื่องจากการกระเจิงของแสง ส่วน V (เลข 5) บ่งบอกว่าดวงอาทิตย์อยู่ในลำดับหลัก ผลิตพลังงานโดยการหลอมไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม และอยู่ในสภาพสมดุล ไม่ยุบตัวหรือขยายตัวดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกเป็นระยะทางโดยประมาณ 26,000 ปีแสง ใช้เวลาโคจรครบรอบดาราจักรประมาณ 225-250 ล้านปี มีอัตราเร็วในวงโคจร 215 กิโลเมตรต่อวินาที หรือ 1 ปีแสง ทุกๆ 1,400 ปี[4]โครงสร้างดวงอาทิตย์เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีมวลคิดเป็นร้อยละ 99 ของระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลม โดยมีความแบนที่ขั้วเพียงหนึ่งในเก้าล้าน[10] ซึ่งหมายความว่าความแตกต่างของเส้นผ่านศูนย์กลางที่ขั้วกับเส้นผ่านศูนย์กลางที่เส้นศูนย์สูตรมีเพียง 10 กิโลเมตร จากการที่ดวงอาทิตย์มีเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็ง ทำให้อัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองในแต่ละส่วนมีความต่างกัน เช่นที่เส้นศูนย์สูตรจะหมุนเร็วกว่าที่ขั้ว ที่เส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์มีคาบการหมุนรอบตัวเอง 25 วัน ส่วนที่ขั้วมีคาบ 35 วัน แต่เมื่อสังเกตบนโลกแล้วจะพบว่าคาบของการหมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์คือ 28 วันดวงอาทิตย์มีความหนาแน่นมากที่สุดบริเวณแกน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงาน และมีค่าน้อยลงเกือบเป็นรูปเอ็กโพเนนเชียลตามระยะทางที่ห่างออกมาจากแกน และแม้ว่าภายในดวงอาทิตย์นั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถศึกษาภายในได้ผ่านทางการใช้คลื่นสะเทือนในดวงอาทิตย์แกนส่วนแกนของดวงอาทิตย์สันนิษฐานว่ามีรัศมีเป็น 0.2 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ ความหนาแน่นประมาณ 150,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือ 150 เท่าของความหนาแน่นของน้ำบนโลก อุณหภูมิประมาณ 13,600,000 เคลวิน ตลอดชีวิตส่วนใหญ่ของดวงอาทิตย์ ภายในแกนจะมีปฏิกิริยาฟิวชันลูกโซ่ โปรตอน-โปรตอน ซึ่งเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม พลังงานที่ได้นี้ทำให้ส่วนที่เหลือของดวงอาทิตย์สุกสว่างและเปล่งแสงทุกๆ วินาที จะมีนิวเคลียสของไฮโดรเจน 3.4 × 1038 ตัว ถูกแปรรูปเป็นฮีเลียม ผลิตพลังงานได้ 383 × 1024 จูล หรือเทียบได้กับระเบิดไตรไนโตรโทลูอีน (TNT) ถึง 9.15 × 1019 กิโลกรัม พลังงานจากแกนของดวงอาทิตย์ใช้เวลานานมากในการขึ้นสู่พื้นผิว อย่างมากเป็น 50 ล้านปี[11] อย่างน้อยเป็น 17,000 ปี[12]เพราะโฟตอนพลังงานสูง (รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา) ถูกดูดกลืนไปในพลาสมา แล้วเปล่งพลังงานออกมาสลับกันเรื่อยๆ ทุกๆ ระยะไม่กี่มิลลิเมตรเขตแผ่รังสีความร้อนภาพประกอบโครงสร้างของดวงอาทิตย์ในส่วนของเขตแผ่รังสีความร้อน (radiation zone) ซึ่งอยู่ในช่วง 0.2 ถึง 0.7 ส่วนของรัศมีดวงอาทิตย์ ในชั้นนี้ไม่มีการพาความร้อน (convection) เพราะอัตราความแตกต่างของอุณหภูมิเทียบกับระยะความสูงน้อยกว่าอัตราการเปลี่ยนอุณหภูมิตามความสูงแบบอะเดียแบติก (adiabatic lapse rate) พลังงานในส่วนนี้ถูกนำออกมาภายนอกช้ามากดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วเขตพาความร้อนในส่วนของเขตพาความร้อน (convection zone) ซึ่งอยู่บริเวณผิวนอกที่เหลือ เป็นส่วนที่พลังงานถูกถ่ายเทผ่านแท่งความร้อน (heat column) โดยเนื้อสารที่ร้อนและมีพลังงานเริ่มต้นจากด้านล่าง แล้วไหลขึ้นด้านบนจนถึงผิว จากนั้นถ่ายเทความร้อนและกลับลงไปใหม่ แท่งความร้อนสามารถสังเกตได้จาก “เกล็ด” บนภาพถ่ายผิวดวงอาทิตย์โฟโตสเฟียร์ในส่วนของโฟโตสเฟียร์ (photosphere) แปลว่า ทรงกลมแห่งแสง ซึ่งเป็นส่วนที่เรามองเห็นดวงอาทิตย์ แสงสว่างที่เปล่งในดวงอาทิตย์นั้นเกิดจากอิเล็กตรอนชนกับอะตอมไฮโดรเจนเกิดเป็น H-[13][14] เหนือชั้นนี้ แสงอาทิตย์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา และมีอุณหภูมิต่ำลงตามความสูงที่มากขึ้น จนทำให้สังเกตเห็นรอยมัวตรงขอบดวงอาทิตย์ในภาพถ่าย (ดังภาพถ่ายด้านบน)บรรยากาศบรรยากาศของดวงอาทิตย์ประกอบด้วย 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นอุณหภูมิต่ำสุด (temperature minimum) โครโมสเฟียร์ (chromosphere) เขตเปลี่ยนผ่าน (transition region) โคโรนา (corona) และเฮลิโอสเฟียร์ (heliosphere) ตามลำดับจากต่ำไปสูงชั้นแรก ชั้นอุณหภูมิต่ำสุด มีอุณหภูมิประมาณ 4,000 เคลวิน และหนา 500 กิโลเมตร ชั้นถัดไปคือโครโมสเฟียร์ ซึ่งแปลว่ารงคมณฑล หรือทรงกลมแห่งสี เหตุที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะเห็นเป็นแสงสีแวบขณะเกิดสุริยุปราคา ชั้นนี้หนา 2,000 กิโลเมตร มีอุณหภูมิสูงถึง 100,000 เคลวิน ชั้นต่อไปเป็นเขตเปลี่ยนผ่านซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึงล้านเคลวิน และยิ่งสูงขึ้นไปอีกในชั้นโคโรนา ทำให้สิ่งนี้เป็นปัญหาคาใจนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการต่อเชื่อมทางแม่เหล็ก (magnetic connection) ชั้นที่เหลือชั้นสุดท้ายคือ เฮลิโอสเฟียร์ หรือสุริยมณฑล คือชั้นที่อำนาจของลมสุริยะสามารถไปถึง ซึ่งอาจมากกว่า 20 หน่วยดาราศาสตร์ (20 เท่าของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์)
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C
ละเอียดมากเลยครับ
สนใจเรื่องดวงอาทิตย์ไหมครับ http://www.thaigoodview.com/node/40893
อยากรู้เรื่องความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตไหมครับ http://www.thaigoodview.com/node/25688