อารยธรรมตะวันออกและอารยธรรมตะวันตกมีผลต่อการพัฒนาความเจริญของชนชาติไทย
อารยธรรมตะวันออกและอารยธรรมตะวันตกมีผลต่อการพัฒนาความเจริญของชนชาติไทย
เรื่องที่ 1. พัฒนาการด้านเศรษฐกิจของไทย
1.1 เศรษฐกิจไทยสมัยสุโขทัย
สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจของกรุงสุโขทัย คือ ข้อความใน หลักศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวว่า "เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" พื้นฐานทางเศรษฐกิจการยังชีพของกรุงสุโขทัยอยู่ที่การเกษตร การค้า และการทำเครื่องสังคโลก
1.1.1) การเกษตรของกรุงสุโขทัย มีการผลิตแบบดั้งเดิม พึ่งธรรมชาติ พื้นที่เพาะปลูกเป็นที่ราบลุ่ม คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน และที่ราบเชิงเขา ซึ่งดินขาดความอุดมสมบูรณ์ มีการสร้างเขื่อน(สรีดภงค์) หรือถนนพระร่วง พืชสำคัญที่ปลูกกันมาก คือ ข้าว มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน หมาก พลู พืชไร่และไม้ผลอื่นๆ
1.1.2) ด้านการค้า มีการค้าภายในอย่างเสรี มีตลาดที่สำคัญ เรียกว่า ตลาดปสาน มีการติดต่อการค้ากับ ล้านนา มอญ และอินเดีย ส่วนการค้าทางเรือมุ่งสู่จีน ญี่ปุ่น มลายู สุมาตรา และชวา สินค้าส่งออกได้แก่ ผลิตผลของป่า เครื่องเทศ เครื่องสังคโลก เป็นต้น สมัยสุโขทัยใช้เงินพดด้วง เป็นสื่อกลาง ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าต่างๆ
1.2 เศรษฐกิจไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
1.2.1) ด้านการเกษตรกรรม ขึ้นอยู่กับลักษณะการเกษตรแบบ ดั้งเดิม คือยังอาศัยธรรมชาติ พืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ข้าว พริกไทย ฝ้าย หมาก มะพร้าว ไม้ฝาง นอแรด หนังสัตว์ และงาช้าง
1.2.2) ด้านการต่างประเทศ กรุงศรีอยุธยาติดต่อค้าขายกับอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และอาหรับ การค้าขายกับจีน เรียกว่า จิ้มก้อง (การยอมรับเป็นเมืองขึ้นของจีนโดยต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ แล้วจีนจะตอบแทนคืนที่มากกว่าในฐานะประเทศที่ยิ่งใหญ่) สินค้าออก ที่สำคัญ เช่น ของป่า ดีบุก เงิน พลอย และเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น สินค้าเข้าที่สำคัญ เช่น แพร เครื่องถ้วยชาม ดาบ ทองแดง และเกราะ เป็นต้น การค้ากับชาติตะวันตก เริ่มปรากฏตั้งแต่หลังสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นต้นมา ชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขาย ได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส และเดนมาร์ก สินค้าออกที่ชาวตะวันตกต้องการ เช่น งาช้าง ไม้กฤษณา ไม้จันทน์ และไม้หอม เป็นต้น สินค้าเข้า เช่น กระสุนดินดำ ปืนไฟ และกำมะถัน เป็นต้น
ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้มีการตั้ง พระคลังสินค้า เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า ทำให้การค้า ของกรุงศรีอยุธยา เป็นระบบผูกขาดมากขึ้น การค้ากับต่างประเทส ของกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองที่สุด ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและ สมเด็จพระเอกาทศรถ และการค้ากับต่างประเทศของกรุงศรีอยุธยาเสื่อมลง ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา เพราะนโยบาย ของผู้นำที่ไม่ต้องการ จะคบค้ากับ ชาติตะวันตก จนเกิดความขัดแย้งระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศส
1. รายได้จากภาษีอากรประเภทต่าง ๆ ได้แก่
1.1) จังกอบ คือค่าผ่านด่านขนอนทั้งทางบกและทางน้ำ รับจะเก็บจากราษฎรในอัตรา 10 ชัก 1 ถ้าเป็นภาษีขาเข้า เรียกว่า ภาษีร้อยชัก ถ้าเก็บตามความกว้างของปากเรือ เรียกว่า ภาษีปากเรือ หรือ ภาษีเบิกร่อง
1.2 ) อากร คือ การเก็บภาษีจากราษฎรที่ไม่ได้ประกอบอาชีพค้าขายโดยตรง เช่น ทำนา ทำสวน และทำไร่
1.3) ส่วย คือการเก็บสิ่งของแทนการเกณฑ์แรงงานไพร่หลวง เช่น ดีบุก มูลค้างคาว รังนก และส่วยบรรณาการที่ได้จาก เมืองประเทศราช
1.4) ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่รัฐเก็บจากประชาชนที่มาใช้บริการจากรัฐ เช่น การออกโฉนด และค่าธรรมเนียมในการฟ้องร้อง
2. ผลกำไรจากการค้าขายพระคลังสินค้า พระคลังสินค้ามีกำไรมากจากการซื้อขายสินค้าต้องห้าม เช่น มูลค้างคาว งาช้าง และกระสุนดินดำ ซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักที่สำคัญอย่างหนึ่งของแผ่นดิน
3. รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ กรุงศรีสอยุธยาค้าขายกับประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป จึงมีรายได้เข้าประเทศทั้งผลกำไร จากการค้า ภาษีขาเข้า และภาษีขาออก
1.3 เศรษฐกิจไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนสนธิสัญญาเบาริ่ง ไทยมีการผลิตแบบเลี้ยงตัวเอง ประชาชนมีฐานะไม่แตกต่างกันมากนัก ราษฎรมีหน้าที่สำคัญคือ การถูกเกณฑ์แรงงาน รับใช้ราชการ และการเสียภาษีให้รัฐ ซึ่งตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมา มีการเก็บภาษี 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ จังกอบ (ภาษีสินค้าเข้า - ออก) อากร(ภาษีจากการประกอบอาชีพต่างๆ) ฤชา(ค่าธรรมเนียม) และส่วย(เงินค้าราชการ) หลังจากสนธิสัญญาเบาริง พ.ศ.2398 เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป เป็นการค้าเสรี ภาษีปากเรือถูกยกเลิกโดยเก็บเฉพาะภาษีขาเข้าร้อยละ 3 ทำให้พระคลังสินค้าต้องยกเลิกไป ผลคือ การค้าขยายตัว และข้าวกลายเป็น สินค้าออกที่สำคัญ ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ เปลี่ยนไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบการค้า การแลกเปลี่ยน เน้นการค้าขาย ก่อให้เกิดอาชีพพ่อค้าคนกลางขึ้น และกลายเป็นนายทุน ในเวลาต่อมา การเกณฑ์แรงงานไม่เหมาะสมและในที่สุดเปลี่ยนเป็น การเกณฑ์ทหาร รัชกาลที่ 5 ทรงจัดระบบการเงินการธนาคาร โดยให้ผลิตเงินตราจำนวนมาก ทรงตั้งโรงกษาปณ์ เปลี่ยนหน่วยเงินใหม่ เป็นบาท สตางค์ ทรงตราพระราชบัญญัติธนบัตร พ.ศ. 2445 พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ พ.ศ. 2451 โดยให้เงินบาทอิงค่าเงินปอนด์ จัดตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ สมัยรัชกาลที่ 6ได้จัดตั้งธนาคาร ออมสินขึ้น และส่งเสริมเผยแพร่วิธีการสหกรณ์ สหกรณ์แห่งแรก คือ สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้ จังหวัดพิษณุโลก รัชกาลที่ 5 ยังทรงจัดระบบภาษี โดยจัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อทำหน้าที่เก็บภาษี ของแผ่นดิน ทั้งหมดและจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการ แทนเบี้ยหวัดรายปี ดังแต่ก่อน ต่อมายกฐานะเป็น พระคลังมหาสมบัติ ทำให้เก็บภาษี ที่กระจัดกระจายได้มากขึ้น และโปรดเกล้าให้จัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2439 นอกจากนั้น ยังปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ตัดถนน ขุดคลอง ตั้งกรมไปรษณีย์ สร้างทางรถไฟ
ในช่วงที่มีการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตกได้มีการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจหลายอย่าง ทั้งด้านการตัดถนน การขุดคลองพัฒนาการขนส่งสื่อสารและคมนาคมในสมัยรัชกาลที่6ี่ได้มีการจัดตั้งกรมรถไฟขึ้นและขยายกิจการไป ทั่วประเทศ และตอนปลายรัชกาล ประเทศไทยต้องสบภาวะขาดดุลการค้า สมัยรัชกาลที่ 7 ทรงแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยการประหยัดค่าใช้จ่าย
ส่วนพระองค์และปลดข้าราชการ พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองต้องรับภาระหนักในทาง เศรษฐกิจ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎร ได้พยายามจัดทำเค้าโครงเศรษฐกิจโดยแก้ไขระบบเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการโอนที่ดินและปัจจัย การผลิตมาเป็นของรัฐ รัฐจะประกันการมีงานทำ และมุ่งพัฒนาประเทศโดยการพึ่งตนเอง แต่เค้าโครงเศรษฐกิจฉบับนี้ ซึ่งเรียกว่า สมุดปกเหลือง ถูกคัดค้านเพราะมีหลักการ แบบ ลัทธิคอมมิวนิสต์ รัฐบาลต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้หันมาใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีชาตินิยม
โดยชักชวนให้ชาวไทยหันมาประกอบ การค้า และอุตสาหกรรมมากขึ้น มีการตํ้งรัฐวิสาหกิจ เช่น โรงงานยาสูบ โรงกลั่นน้ำมัน แลตั้งกระทรวง อุตสาหกรรม เมื่อ พ.ศ.2485 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลส่งเสริมการพาณิชย์มากขึ้น มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนและพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ทางหลวง เขื่อน องค์การระหว่างประเทศ เช่นองค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก เข้ามามีอิทธิพลต่อการจัดรูปแบบ การพัฒนา ก่อให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ใกล้เคียงกับประเทศร่ำรวย และประเทศไทยก็ได้เริ่มจัดทำแผนพัฒนาประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก ในพ.ศ. 2504 และดำเนินต่อมาจนกระทั้งปัจจุบัน (แผนฉบับที่ 1 พ.ศ. 2501-2509 ใช้ชื่อว่า พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ มีระยะเวลา 6 ปี ส่วนแผนฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510-2514 ฉบับที่ 3 พ.ศ.2515-2519 ฉบับที่ 4 พ.ศ.2520-2524 ฉบับที่ 5 พ.ศ.2525-2529 ฉบับที่ 6 พ.ศ.2530-2534 ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535-2539 ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540-2544 และฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545-2549 ใช้ชื่อว่าพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีระยะเวลาแผนละ 5 ปี) ตลอดระยะเวลา ที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจไปตามแผน ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน ด้านโครงสร้างการผลิต ขยายการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการบริการมากขึ้น ทำให้ผลิตผลทางการเกษตร ที่เคยมีความสำคัญแต่เดิม ลดความสำคัญลง ด้านโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ มีสินค้า ส่งออกมากขึ้น สินค้าการเกษตร เช่น ข้าวโพด ปอ มันสัมปะหลัง สินค้าอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอ อาหารกระป๋อง อัญมณี มีการนำเข้าเครื่องจักร และเชื้อเพลิงมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไทยต้อง พึ่งพาต่างประเทศ