จากหนองคายหรืออุดรธานี คิดจะเที่ยวเวียงจันทน์ ไปไม่ยาก แต่กว่าจะข้ามไปฝั่งบ้านพี่เมืองน้องได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
การวางแผนท่องเที่ยวและหาข้อมูลล่วงหน้า จะช่วยลดความยุ่งยากลงได้เยอะ
บางคนบอก คิดมากทำไมให้ยุ่งยาก ไปกับทัวร์สบายใจแฮ!
เที่ยวกับทัวร์ดีตรงที่มีผู้ช่วยวางโปรแกรมให้เสร็จสรรพ ได้ความรู้บ้างเล็กน้อยตอนนำเที่ยว วิธีนี้ก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในฝูงชนที่ยกโขยงกันเฮโลเข้าทางนั้นที แวะที่นี่หน่อย
ภาพเป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ ได้ไปเวียงจันทน์ ถึงได้รู้ว่ากรุ๊ปทัวร์ไทยแห่ไปมากกว่าชาติไหน
9-18 ธันวาคม 2552 เป็นช่วงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25 ซึ่งลาวเป็นเจ้าภาพ จัดที่เมืองเวียงจันทน์ ไปช่วงนั้น คึกคักไม่เบา
ก่อนหน้านี้ลาวประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีอยู่ 6 ล้านคน (น้อยกว่าคนกรุงเทพฯ จังหวัดเดียวเสียอีก) รวมใจเป็นเจ้าภาพที่ดี ไม่ให้น้อยหน้าเจ้าภาพชาติไหน
ประชาสัมพันธ์ซีเกมส์ผ่านผู้สนับสนุนรายใหญ่
ปีนี้ข้ามไปเวียงจันทน์สองรอบแล้ว ผ่านทางด่านหนองคายทั้งสองรอบ ครั้งแรกไปกับคณะไทยคม ค้างคืนที่โรงแรมวันชนะ ริมแม่น้ำโขง อีกรอบขับรถเข้าไปเอง
ไปรอบหลังชำนาญมากขึ้น ชักคล่องเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยว จะติดขัดบ้าง ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่ฉลุยเหมือนมีไกด์พามาด้วย อันนี้เป็นที่รู้กัน ทำใจไว้แต่แรกแล้ว!
ริมน้ำโขง
อาหารเช้าที่โรงแรม ได้รับอิทธิพลจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
โรงแรมวันชนะมีรองเท้าฟองน้ำและแปรงตาอูฐนำเข้าจากไทย สำหรับซักผ้า
การเดินทางไปเวียงจันทน์ ทำได้หลายวิธี แบบแรกเกาะติดไปกับทัวร์ สะดวกสบายแต่จ่ายแพงกว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรือไปแบบแบกเป้ ต่อรถโดยสารประจำทางที่ด่าน อีกแบบคือนำรถขับเข้าไปเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นสองวิธีหลัง ต้องดำเนินการด้านเอกสารเข้าออกด้วยตนเองทั้งที่ฝั่งไทยและฝั่งลาว
จะใช้พาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) หรือบัตรผ่านแดนชั่วคราวก็ได้ ทำพาสปอร์ตได้ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ หรือสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว (ดูรายละเอียด www.consular.go.th) ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท รอรับอีก 2 วันทำการ หรือแจ้งความประสงค์รับทางไปรษณีย์ ส่วนบัตรผ่านแดนชั่วคราวต้องไปทำที่ว่าการอำเภอในเมืองหนองคาย หรือจุดให้บริการ ตรวจสอบได้จากประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองคาย โทร.0-4241-2110
หลังจากนั้นนำพาสปอร์ตหรือบัตรผ่านแดนชั่วคราวไปยื่นที่ด่านพรมแดนหนองคาย เปิดตั้งแต่เช้าและปิด 4 ทุ่ม ถ้านำรถข้ามไปฝั่งลาวด้วย ต้องไปติดต่อทำพาสปอร์ตรถที่สำนักงานขนส่งในเขตที่รถจดทะเบียนไว้ พาสปอร์ตรถจะหมดอายุวันเดียวกับการต่อภาษีรถ หากต้องการต่ออายุพาสปอร์ตรถครั้งต่อไป สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานขนส่งทุกพื้นที่
เมื่อแจ้งเรื่องขอทำพาสปอร์ตรถแล้ว รอประมาณ 3 ชั่วโมง จะได้รับในวันนั้นทันทีพร้อมสติกเกอร์ชั่วคราวรูปตัว T แทนความหมายประเทศไทย เพื่อใช้ติดด้านหน้าและด้านหลังรถ ขณะวิ่งในประเทศลาว เช่นเดียวกับรถจากลาว หากขับเข้ามาในดินแดนไทย ต้องติดสติกเกอร์แทนชื่อลาว คือ LAO สำหรับสติกเกอร์ตัวจริง ทางสำนักงานขนส่งจะนัดให้ไปรับใน 20 วันทำการ
ไปถึงด่านหนองคาย ไม่ต้องตกใจถ้าเห็นคนจำนวนมากมาย และช่องตรวจเอกสารหลายช่อง ให้สอบถามเจ้าหน้าที่ได้
เสียงเจ้าหน้าที่ไทยตะโกนถามเมื่อเห็นผู้เขียนเกิดอาการขับรถด้วยความลังเล
“เอาสมุดจดทะเบียนรถตัวจริงมาหรือเปล่า ถ่ายสำเนามาไหม สติกเกอร์ล่ะมีไหม ติดด้วยนะ ไม่งั้นทางลาวมันจ้องเล่นงาน” คิดในใจ ขนาดนั้นเลยรึ รู้งี้แล้วจะรออะไรล่ะ รีบติดอักษร T ที่ไปเสียเงินมา 200 บาททันที
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดูเอกสาร ได้แก่ พาสปอร์ตรถ พาสปอร์ตคน สมุดจดทะเบียนรถ เสร็จแล้วยื่นคืนพร้อมแบบฟอร์มการนำรถออกนอกประเทศและเอกสารขาเข้าและออก 2 ใบ กรอกเสร็จส่งคืนที่จุดเดิมเพื่อประทับตราในพาสปอร์ต และเสียค่าธรรมเนียม 35 บาท (รถ 25 บาท คนอีก 5 บาท) จากนั้นให้ไปยื่นพาสปอร์ตต่อที่ช่องถัดไป ซึ่งเป็นด่านศุลกากร ตรงนี้สิแปลกๆ “เคยข้ามไปลาวหรือยัง พาสปอร์ตรถต้องไปจั๊มเข้าออกที่ด่านลาวก่อน นี่ไม่มีตราประทับเลย ตม.น่าจะบอก งั้นต้องขอสมุดคู่มือรถไว้ก่อนนะ วางไว้ตรงนี้นะ กลับมาเมื่อไหร่ค่อยมารับ” นึกในใจยังไม่ได้ข้ามไปลาว มันจะมีตราประทับได้ไงวะ! ถามกลับไปว่าต้องกลับมาภายในกี่โมง เจ้าหน้าที่พิลึกคนเดิมตอบมาว่า กี่โมงก็ได้อย่าให้เกินสี่ทุ่ม
รู้สึกว่าแหม่ง ๆ ไม่เห็นมีใครถูกยึดสมุดไว้เลย ตัดสินใจย้อนกลับมาที่ตม. ช่องเดิมอีกครั้งเพื่อถามว่าต้องยึดสมุดคู่มือรถไว้ด้วยหรือ เอาล่ะสิ ตม.ทำหน้างงๆ “ยึดไว้ทำไม ไปขอเค้าคืน พูดกับเค้าดีๆ” อ้าว! แสดงว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นสร้างกฎระเบียบขึ้นมาเองหรือ
ใครเคยไปครั้งแรกต้องระวังให้ดี อย่าให้เจ้าหน้าที่ยึดเอกสารสำคัญไปได้เด็ดขาด!!
ดำเนินการเรียบร้อย นำรถขับผ่านด่าน ส่งพาสปอร์ตรถให้เจ้าหน้าที่ดูตราประทับ เป็นอันเรียบร้อย ออกจากหนองคาย มุ่งตรงไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2537 ผ่านมานาน 15 ปี เพิ่งจะมีรางรถไฟผ่ากลางสะพานเมื่อไม่นานมานี้
ลงสะพานปุ๊บ เสียเงินให้ฝั่งไทย 10 บาท เข้าไปจอดรถที่ตม.ลาว ตรวจเอกสาร จากนั้นกรอกเอกสารขาเข้า-ออก ยื่นเอกสารขาเข้าให้เจ้าหน้าที่ เสียค่าธรรมเนียมรถ 210 บาท คน 15 บาท รับใบเสร็จ เอารถออกพร้อมประทับตราพาสปอร์ตรถ
ที่ตม.ลาว คิดค่าธรรมเนียมรถ จันทร์-ศุกร์ 170 บาท วันหยุดบวกโอที 40 บาท ค่าธรรมเนียมคน (ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราว 40 บาท พาสปอร์ต 15 บาท) วันหยุด ถ้าใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราว 50 บาท ใช้พาสปอร์ต 15 บาท ส่วนตารางคิดค่าธรรมเนียมที่ติดอยู่ตรงตม. ไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด ไม่รู้จะติดไว้ทำไม!
กว่าจะผ่านด่านทั้งพี่ไทยและลาวกินเวลาไปเกือบชั่วโมง
ออกจากด่านไม่รู้จะไปทางไหน เลี้ยวขวาเลย ขับยาวไปสักพัก เพิ่งจะเจอว่าตัวเองและรถอยู่ตรงไหนของแผนที่ เมื่อเห็นดงสถานทูตปรากฏอยู่สองฝั่งถนน
ขับรถที่ลาวต้องใจเย็น ป้องกันความสับสนในการขับเลนขวา ต่างกับที่เมืองไทยที่ใช้ถนนเลนซ้าย ทำไมขับกันเร็วจัง ไหนป้ายติดไว้ ไม่ให้ขับเกิน 30 บ้าง 40 บ้าง 50 บ้าง แต่เท่าที่เห็นเร็วกว่านั้นนะ
ประตูรถลาวอยู่ด้านขวามือ
ขับรถเลนขวาและขับช้า
ขับไปขับมาเจอะวัดศรีเมืองก่อนเพื่อน แวะเลย ขับรถไปจอดในวัดได้ ไม่เสียค่าจอดรถ แต่ที่เสีย(รู้)คือค่าพวงมาลัย 40 บาท เอาพวงเดียวพอเลย แพงจัด!!
วัดศรีเมืองเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลาว ว่ากันว่าขออะไรก็ได้ บนได้แต่ห้ามขอเรื่องชู้สาว หรือความรัก
ทางที่ดีขอให้ แข็ง ใหญ่ ยาว หมายถึงสุขภาพแข็งแรง หน้าที่การงานใหญ่โต และอายุยืนยาว ธรรมเนียมการไหว้พระที่วัดศรีเมือง บูชาด้วยต้นเทียนผึ้งเสริมบารมี ใช้ต้นกล้วยปักเทียนสีเหลือง เชื่อว่าเวลาตายจะได้มีปราสาทหรือบ้านอยู่
ไหว้พระที่วัดศรีเมือง
เห็นมะพร้าวเผาลูกโต พอถามราคา พ่อค้าบอกเป็นเงินไทยเรียบร้อย 20 บาท แพงพอ ๆ แหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย ให้นึกสงสัย ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวโขกไม่น้อย ทั้งที่เงินเดือนคนลาวแค่ 5 แสนกีบ หรือ 2,000 บาท (1,000 กีบ เท่ากับ 4 บาท) คิดอีกที ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะเสริมรายได้ให้กับคนลาว ในเมื่อค่าครองชีพสวนทางเงินเดือน อาหารหนึ่งจาน ราคา 20-40 บาท และสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย แน่นอนว่าซื้อที่ลาวย่อมแพงกว่าซื้อที่ไทย
น้ำอัดลมที่ลาวผลิตเองได้มีแค่เป๊ปซี่ โดยบริษัท น้ำหวานลาว จำกัด ผลิตน้ำดื่มวาวี เป๊บซี่ มิรินด้า เซเว่น อัพ สำหรับเป๊ปซี่ที่นำเข้าจากไทยมีราคาแพงกว่า 1 ขวด บวกน้ำแข็ง ถุงละ 25 บาท !
ขับรถที่นี่ยากตรงที่ถนนบางเส้นทางเดินรถทางเดียว ดังนั้นกว่าจะถึงจุดที่อยากไป อาจต้องวนแล้ววนอีก “นี่ไงวัดสีสะเกด จอดเลย” เสียค่าจอดรถ 3,000 กีบหรือ 12 บาท (1,000 กีบ=4 บาท) ถ้าจ่ายเป็นเงินไทย เรียกเก็บ 15 บาท
ซากปรักหักพังของพระพุทธรูปที่ถูกทำลาย ยังเก็บไว้ที่วัดสีสะเกด
นอกจากค่าจอดรถ สถานที่สำคัญบางแห่ง นักท่องเที่ยวต้องเสียค่าเข้าชม 5,000 กีบ หรือ 20 บาท สำหรับชาวลาวเสียค่าเข้าชมในราคา 2,000 กีบ หรือ 8 บาท
ถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยวที่ไปเมืองไทย เสียมากกว่านี้เยอะ ขณะที่คนไทยเที่ยวไทย เฉพาะสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาจไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรืออย่างมาก 10-20 บาท
แหล่งท่องเที่ยวที่ลาวมีเวลาทำการ ระหว่าง 08.00-12.00 น. และ 13.00-16.00 น. ตอนเที่ยงปิดทำการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่พัก นักท่องเที่ยวก็ควรพักเช่นกัน เช่นเดียวกับนักเรียนประถมถึงมหาวิทยาลัย ที่ออกจากโรงเรียนตอนเที่ยง กลับเข้าเรียนอีกทีบ่ายครึ่ง มีคนสงสัยแล้วเด็กไม่หนีเรียนหรือ ที่นี่มีระเบียบว่าถ้าไม่เข้าเรียนจะถูกตัดคะแนนและหมดสิทธิสอบ
ออกจากวัดสีสะเกด ยังพอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ไม่ให้เสียเวลาเปล่า วิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอพระแก้ว อยู่ติดกับพระราชวังเก่า จ่ายค่าธรรมเนียม 5,000 กีบ ด้านในหอพระแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต เดิมนั้นองค์อยู่หลวงพระบาง ก่อนอัญเชิญมาที่เวียงจันทน์ มีอายุ 400 กว่าปี
หอพระแก้วเงียบเหงาในวันธรรมดา
ดอกไม้สำหรับไหว้พระ 5,000 กีบต่อชุด ชื่นชมความงามได้อย่างเดียว ห้ามถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ขู่จริง เพราะมีฟิล์มที่ถูกถอดออกวางโชว์ไว้ด้วย
ด้านนอกหอพระแก้วมีไหหินใหญ่ยักษ์ นำจากทุ่งไหหินที่เชียงของ ในอดีตเอาไว้หมักเหล้าหรือใส่กระดูกของคนตาย
วันที่ไปเป็นวันเสาร์ คนจึงมากเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นคนไทยล่ะที่มากกว่าใครเพื่อน
หญิงไทยหญิงลาวดูไม่ยาก ให้ดูทรงผมเกล้ามวยและนุ่งผ้าถุง หรือสังเกตอีกอย่างก็ได้ ตรงที่คนไทยพูดมาก พูดดัง ..
สาวลาวตัวจริงเสียงจริง
ไม่รู้ด้วยความเชื่อผิด ๆ ของคนไทยหรือเปล่า เห็นเหรียญบาทไทยจำนวนมาก ติดตามองค์พระพุทธรูปอยู่ด้วย มีคนแรกทำ คนต่อ ๆ ไปก็ทำ เอาเป็นว่าเที่ยวหน้าใครไปวัด ไม่ว่าที่ไหน อย่าได้ติดเหรียญเลยท่านทั้งหลาย เห็นวัดบางแห่งถึงขั้นติดประกาศ “ห้ามติดเหรียญที่พระ” เชื่อหรือเปล่าไม่รู้
ด้านหน้าทางเข้ามีหนังสือประวัติหอพระแก้ว ราคา 120 บาท และโปสการ์ดเมืองลาวจำหน่าย ใบละ 10 บาท ขายเฉพาะโปสการ์ด แสตมป์ต้องไปหาซื้อตามร้านมินิมาร์ทหรือโรงแรม ราคาแพงมาก 7,000 กีบ หรือ 28 บาท สำหรับการส่งกลับเมืองไทย เทียบกับไทยแล้ว การส่งไปรษณียบัตรระหว่างประเทศ ค่าแสตมป์เพียง 15 บาท
รถสัญจรในเมืองเวียงจันทน์หนาแน่นในบางจุด และไม่สะดวกถ้าจะจอดรถไว้ตามริมถนน ไหน ๆ ก็เสียค่าจอดรถแบบถูกต้องตามกฎหมาย เอาง่ายเข้าไว้ จอดรถไว้ที่เดิม แล้วเดินออกด้านหลังหอพระแก้ว ผ่านโรงหมอมโหสถ (Hospital Mahosot)
ลาวเรียกโฮงหมอแทนการเรียกว่าโรงพยาบาล ที่แปลกคือที่โฮงหมอไม่มีพยาบาล เพราะเรียกพยาบาลว่าหมอ ส่วนหมอไปเรียกว่าดอกเตอร์แทน และเรียกน้ำเกลือว่าทะเล
พูดถึงทะเล เนื่องจากเมืองลาวติดแม่น้ำโขง ไม่มีทะเล คนไทยที่คิดจะไปเยี่ยมชาวลาว ของฝากถูกใจคืออาหารทะเล เช่น หอยแครง กุ้ง ปลาหมึก
มาถึงลาวทั้งที ขอชิมส้มตำลาวขนานแท้ หน้าตา รสชาติจะดุเด็ดผัดมันขนาดไหน
ส้มตำราคา 7,000 กีบ ข้าวเหนียวจานใหญ่ 5,000 กีบ เนื้อย่าง 6,000 กีบ น้ำเปล่ามีแบบขวดขุ่นและขวดใส ขวดขุ่นยี่ห้อบัวแก้ว 2,000 กีบ ขวดใสยี่ห้อหัวเสือ 7,000 กีบ อะไรจะแพงขนาดนั้น
เนื้อย่าง ตับย่าง และสารพัดย่าง
เมี่ยงปลา
ส้มตำลาว กินที่ลาว อร่อยไม่แพ้เมืองไทย
อิ่มหนำแล้วขับรถเที่ยวต่อ ช่วงบ่ายนี้มีโปรแกรมที่ประตูชัย วัดพระธาตุหลวง และแหล่งช็อปปิ้ง
ไปยืนดูประตูชัย สูงสง่าแม้เวลาจะผ่านมาร้อยปี ประเทศที่สร้างส่วนฐานคือฝรั่งเศส ที่เหลือลาวสร้างต่อ และยังต่อเติมมาถึงทุกวันนี้
ประตูชัยอยู่ฝั่งตรงข้ามทำเนียบแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้าง เป็นอาคารสูงผิดตาจากตึกรามบ้านช่องทั่วไป ที่มีกฎหมายห้ามสร้างตึกสูงเกิน 5 ชั้น ยกเว้นอาคารที่รัฐมีส่วนร่วม เหมือนกับโรงแรม Don Chan Palace ริมแม่น้ำโขง ก่อสร้างได้สูงถึง 14 ชั้น เพราะรัฐบาลลาวมีหุ้นอยู่ด้วย แต่มาเลเซียเป็นผู้สร้าง
ประตูชัย ครบรอบ 100 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2009
วิวด้านหน้าประตูชัยเมื่อมองจากชั้นบนสุด
ประตูชัยมีความสูง 7 ชั้น ลานโดยรอบกว้างใหญ่ ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสที่มีส่วนร่วมในสถาปัตยกรรมอันงดงามแห่งนี้ รัฐบาลจีนช่วยสร้างน้ำพุให้ และการบินไทยมอบเก้าอี้สาธารณะ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นของการบินไทย แหม! ติดชื่อหราขนาดนั้น ทำดีต้องมีคนเห็น!
เสียค่าเข้าชม 3,000 กีบ ค่าจอดรถ 3,000 กีบ แล้วเดินให้ครบทั้ง 7 ชั้น เผื่อว่าขาลง คุณหนุ่ม ๆ ได้สาวลาว(ราว)กลับมา
แต่ละชั้นมีของที่ระลึกขาย เช่น หนังสือหัดอ่านเขียนภาษาลาว พวงกุญแจ เสื้อ เครื่องเงิน ภาพวาด ราคาต่อรองได้ เพราะตั้งไว้สูง เช่น ตำรา ก ข ค 40 บาท สามารถลดได้เหลือ 20 บาท
ขึ้นไปจุดสูงสุดเพื่อชมวิวด้านล่าง ไม่ต้องแปลกใจหากเห็นจิตรกรรมจากคนมือบอน ฝากรอยบาปไว้หลายภาษา
ลงมาถึงด้านล่างอยากเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก มีช่างภาพคอยบริการ ถ่ายปุ๊บ อัดปั๊บ ใบละ 20 บาท
ลายมือหลายภาษา ส่อสกุลผู้เขียน เมื่อไม่ถูกที่
อาชีพอัดภาพด่วน เป็นที่นิยมตามแหล่งท่องเที่ยว
เลยประตูชัยขึ้นไปไม่ไกล ไปไหว้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวลาวอีกแห่งคือวัดพระธาตุหลวง หนึ่งในโปรแกรมเด่น ไม่ว่าใครมาลาวก็ต้องมาแวะที่นี่ด้วย วัดพระธาตุหลวงสร้างขึ้นหลังหอพระแก้ว ค่าธรรมเนียม 5,000 กีบ ที่นี่มีขายเข็มกลัดธงชาติลาวด้วย ราคา 60 บาท หรือซื้อโปสเตอร์ภาษาลาวเป็นที่ระลึก 30 บาท โปสการ์ดมีขายเช่นกัน ราคามาตรฐาน 10 บาท
เวียงจันทน์มีแหล่งช็อปปิ้งดัง ๆ อยู่ที่ตลาดเช้าคึกคักที่สุด ชื่อตลาดเช้าแต่ขายทั้งวัน คล้ายมาบุญครองบ้านเรา ขายของหนีภาษี สินค้าเลียนแบบ เช่น ทองคำ นาฬิกา มือถือ ซีดี รองเท้า เสื้อผ้า
ของก๊อปปี้ (ไม่สนับสนุนเท่าไหร่) ยังมีขายอีกที่ตลาดจีน ค่อนข้างเงียบเหงาหน่อย ต้องต่อรองราคาดี ๆ เพราะบวกราคาแบบน่าตกใจ เจ้าของส่วนใหญ่เป็นชาวจีน จ้างสาวลาวขาย ดุอีกต่างหาก
ผู้ที่ชื่นชอบเครื่องเงิน ผ้าไหม ต้องไปที่ร้านจินตนาหัตถกรรม ขายเครื่องเงินแท้ กำไล สร้อย ผ้าถุง สไบ และเสื้อยืดภาษาลาว ไซส์ S M 50 บาท L XL 60 บาท XXL 70 บาท ซื้อกี่ตัวก็ราคานี้
ตึกทรงกลมที่เห็นคือตลาดเช้า
สินค้าปลอมยี่ห้อดังวางขายกันเห็น ๆ
ที่ทำการไปรษณีย์ ใกล้ตลาดเช้า
ตู้ไปรษณีย์หายากมาก ตู้นี้ตั้งอยู่หน้าที่ทำการ
เครื่องเงินเทียม มีทั้งคนที่ซื้อแล้วแพงมาก กับคนที่ต่อราคาได้ถูกมาก
กระติ๊บข้าวเหนียว ขายกันเป็นคันรถแบบนี้
ร้านอาหารที่โรงแรมล้านช้าง ไม่ใหญ่โตแต่อาหารอร่อย
การแสดงกายกรรมหรือกายศิลปะลาว หาชมได้ที่โรงแรมล้านช้าง
ร้านมินิมาร์ทขายสินค้าไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงแสตมป์และโปสการ์ด
ใช้เวลาพอสมควรกับการเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ มีเวลาแวะดิวตี้ฟรีที่ลาว ก่อนกลับเข้าฝั่งไทย ที่ดิวตี้ฟรีเปิดขายกันถึงหนึ่งทุ่ม และเวลาด่านปิดตอนสี่ทุ่ม
สินค้าดิวตี้ฟรีชายแดนจะมีอะไรไปไม่ได้ นอกจากสินค้านำเข้าจากจีน สินค้าลอกเลียนแบบแบรนด์เนม ที่น่าเจ็บใจคือแผ่นผีศิลปินไทยไปโผล่อยู่ที่นั่นกันทุกค่าย ขายราคาแผ่นละ 20 บาท
ขนมปังแท่งโตอย่างฝรั่งเศสแต่ใส่เครื่องแบบลาว 60 บาท
อดไม่ได้ เดินเข้าไปถามแม่ขายลาวหน้าจิ้มลิ้ม มีแผ่นผีศิลปินลาวบ้างไหม คำตอบคือไม่มี ทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย ราคาขายแผ่นละร้อยกว่าบาทขึ้นไป อ้าว! ทำไมเป็นแบบนั้น
ว่าด้วยเรื่องบันเทิง ที่ลาวมีแค่นักร้อง ส่วนภาพยนตร์ผลิตเองไม่ได้ มีโรงหนังหรือว่าโฮงรูปเงาที่เวียงจันทน์แห่งเดียว ที่ศูนย์แสดงสินค้า Lao ITECC ใครอยากดูโทรทัศน์ลาวในเมืองไทย ติดเคเบิ้ลทีวีเปิดช่องลาวสตาร์
ขับรถมาถึงตม.ลาว ยื่นเอกสารขาออก ประทับตราพาสปอร์ตคนและรถ คืนใบเสร็จรับเงิน ใช้บริการสองจุดเช่นเคย คิดในใจมาคราวหน้าก็จำไม่ได้หรอก ไปจุดไหนบ้าง ถามตลอด!!
ได้ของเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่รู้เป็นที่พอใจหรือเปล่า ขับรถออกจากลาว จะขึ้นสะพานมิตรภาพฯ จ่ายให้ลาวทิ้งท้ายอีก 25 บาท
เฮ้ย! ทำไมแพงกว่าขามา จ่ายแค่ 10 บาทเอง เจ้าหน้าที่ลาวบอกว่านั่นมันไทย นี่มันลาว!!
สาวลาวบอกมา
-ลาวไม่มีขโมย ไม่มีคนว่างงานเพราะนักเรียนทำงานไปเรียนไป
-ไม่มีทนายเพราะไม่มีใครจ้าง
-ไฟเหลือง เรียกไฟลังเล ไฟแดง เรียกไฟอำนาจ ไฟขียว เรียกไฟเสรี
-ผู้ชายไปค้างคืนบ้านผู้หญิงโดยไม่บอกผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ ถือเป็นภัยสังคม
-ระบบการศึกษาที่ลาวแบ่งเป็น ป.1-ป.5 และ ม.1-ม.7
-กาแฟซีนุก โด่งดังพอ ๆ กับกาแฟดาว
-หวยรัฐบาลออก 7 ครั้งต่อเดือน ทุกวันพฤหัส หวยใต้ดินก็มี
-ข้าวชามละ 8,000-10,000 กีบ
-เงิน 10,000 กีบ เรียกสิบพัน
-ก๋วยเตี๋ยวใส่ถ้วย ไม่เรียกว่าชาม เพราะชามหมายถึงกาละมัง
-เป็นตำรวจที่ลาวได้ที่ดินปลูกบ้าน มีบ้านพักให้อยู่ได้ถึงลูกหลานแต่ห้ามขาย
-โรงแรมละอองดาวคือโรงแรมอย่างว่าที่หนุ่ม ๆ ไปเที่ยว
-กายกรรม เรียกว่ากายศิลปะ
-ยืนริมน้ำโขงใช้โทรศัพท์สัญญาณไทย ราคาเท่ากับอยู่เมืองไทย ถ้าใช้สัญญาณลาวแพงมาก ไม่ว่ารับหรือโทรออก
-ฝากเงินที่นี่ดอกเบี้ยดีกว่าไทย
ภาษาลาวในห้องน้ำ อ่านดีๆ อ่านไม่ยาก
|