การปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 อันเป็นสมัยแห่งการสำรวจ ค้นพบโลกใหม่และสมัยแห่งการขยายตัวทางการค้า ซึ่งทำให้เกิดความต้องการเพิ่มปริมาณสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
เพื่อเพิ่มจำนวนของสินค้า ในระยะแรกกลุ่มพ่อค้า นายทุนได้ใช้วิธีการนำวัตถุดิบรวมทั้งเครื่องมือทางการผลิตว่าจ้างให้ช่างทำการผลิตสินค้าตามที่ตนต้องการ แล้วนำผลผลิตสำเร็จรูปส่งออกขายเอากำไร วิธีการผลิตนี้เรียกกันว่า “ระบบการผลิตในครอบครัว” (Domestic system) อย่างไรก็ตาม เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น จึงมีการประดิษฐ์ คิดค้นเครื่องจักรเข้ามาตอบสนอง โดยในศตวรรษที่ 18 สามารถประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำและนำมาพัฒนาเป็นเครื่องจักรทอผ้าได้เป็นผลสำเร็จ
เมื่อกล่าวถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต จากการใช้แรงงานคน สัตว์ มาสู่การใช้แรงงานเครื่องจักรกล รวมทั้งการปรับเปลี่ยนลักษณะทางการผลิตจากระบบการผลิตในครอบครัวมาสู่ระบบการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม (Factory) สินค้าจะถูกผลิตขึ้นคราวละมาก ๆ และมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากการผลิตงานฝีมือจากช่างฝีมือ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ครั้ง คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ค.ศ. 1760 การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ค.ศ. 1880 และการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ค.ศ. 1950 (จะกล่าวถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศในส่วนของยุคโลกาภิวัตน์)
http://static.howstuffworks.com/gif/capitalism-2.jpg
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษใน ค.ศ. 1760 โดยมีการนำเอาเครื่องจักรไอน้ำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องจักรทอผ้าและใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทางการผลิต การที่ประเทศอังกฤษประสบความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่อังกฤษอย่างมหาศาล และกลายเป็นต้นแบบหรือแนวทางให้ประเทศอื่น ๆ ดำเนินการตาม ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของพื้นที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมจากประเทศอังกฤษไปสู่ฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมัน อเมริกาในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 19 ตามลำดับ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศรัสเซียและญี่ปุ่นราวปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้น
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 อยู่หลายประการ เช่น มีการปรับเปลี่ยนพลังงานทางการผลิตจากพลังงานถ่านหินมาสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซและน้ำมัน ระบบการผลิตแม้ว่าจะเป็นระบบการผลิตแบบโรงงาน แต่ก็มีการพัฒนาวิธีการผลิต โดยการนำเอาระบบสายพานหรือระบบเทย์เลอร์ (Taylorism) (เรียกตามชื่อผู้คิดค้น คือ เฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์) มาใช้เพื่อเพิ่มความเร็วและจำนวนของสินค้า ตัวสินค้าเองก็ปรับเปลี่ยนจากผ้าเข้าสู่สินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงตามพลังงานใหม่ที่ค้นพบและใช้เหล็กกล้าเป็นวัสดุหลักทางการผลิต เช่น การประดิษฐ์รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น