ประวัติศาสตร์สากล
ประวัตติศาสตร์สากลยุคหินยุคหินเก่า 1. อายุประมาณ 2 ล้านปีก่อนคริสต์ศักราช
2. ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่า
3. อาศัยตามถ้ำหรือที่พักหยาบๆ
4. พึ่งพาธรรมชาติและไม่เข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติ
5. รู้จักใช้ไฟ
6. ประกอบพิธีฝังศพอันเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนา
7. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำตามความเชื่อและพิธีกรรม ยุคหินกลาง 1. อายุประมาณ 8 พันปีก่อนคริสต์ศักราช
2. เริ่มรู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แบบง่ายๆ
3. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำมีความซับซ้อนมากขึ้น จุดมุ่งหมายเพื่อพิธีกรรมความเชื่อเรื่องวิญญาณ
4. มีพิธีกรรมเกี่ยวกับพระ ยุคหินใหม่ 1. อายุประมาณ 4 พันปีก่อนคริสต์ศักราช
2. ผลิตอาหารได้เอง รู้จักเก็บกักอาหาร หยุดเร่ร่อน
3. เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินประณีตขึ้น
4. รู้จักการทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา ทำเครื่องทุ่นแรง เช่น การเสียดสีให้เกิดไฟ การประดิษฐ์เรือ
5. รวมกลุ่มเกษตรกรรมเป็น ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นงานสถาปัตยกรรมของมนุษย์ เชื่อว่าสร้างเพื่อคำนวณทางดาราศาสตร์ พิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยว
ข้องกับการเกษตรหรือบูชาพระอาทิตย์
- ชาติแรกที่เข้ามา คือ สุเมเรียน ซึ่งมีความเจริญด้านการเกษตร รู้จักการชลประทานและจัดการปกครองแบบนครรัฐได้เป็นครั้งแรก
- ประดิษฐ์อักษรลิ่ม ลงบนแผ่นดินเหนียว มีความเจริญด้านคณิตศาสตร์ เช่น การคูณหาร ถอดรากกำลังสอง เลขฐาน 60 เป็นต้น มีการติดต่อค้าขายกับภายนอก
- นับถือเทพเจ้าหลายองค์ วิหารบูชาเทพเจ้า คือ ซิกกูแรท
- บาบิโลเนีย ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมบูราบี ใช้บทลงโทษที่รุนแรง " ตาต่อตา ฟันต่อฟัน " เพื่อสร้างระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดน ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก
- อัสซีเรีย การแกะสลักภาพนูนต่ำ แสดงการสู้รบของกษัตริย์อัสซูร์บาลิปาล รวบรวมงานเขียนไว้ที่ห้องสมุดเมืองนายเวห์ ซึ่งเป็นห้องสมุดแห่งแรกของโลก
- คาลเดีย สร้างสวนลอยแห่งกรุงบสบิโลน มีความสามารถด้านดาราศาสตร์ แบ่งสัปดาห์ 7 วัน สามารถทำนายสุริยุปราคา และนำดาราศาสตร์มาเป็นเครื่องทำนายชะตาชีวิตมนุษย์
- เปอร์เซีย ระบอบการปกครองแบบจักรวรรดินิยมที่มั่นคง ขยายการค้าไปยังดินแดนต่างๆ
- ฟินิเซีย มีความสามารถด้านการค้า การแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นชาติแรกที่มีเหรียญทองคำใช้ เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมของชาติต่างๆในภูมิภาคนี้กรีกอารยธรรมของกรีกซึ่งเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน ได้แก่
สถาปัตยกรรม
- เน้นความยิ่งใหญ่ เรียบง่าย กลมกลืน
- ไอโอนิคฅ
- โดรินเซียนประติมากรรม
- เป็นการปั้นที่เป็นสัดส่วนและสรีระที่เป็นมนุษย์จริง การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความงามของมนุษย์ตามธรรมชาติ เช่น นักขว้างจักร จิตรกรรม
- จิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การเขียนภาพบนเครื่องปั้นดินเผาลวดลายต่างๆ วรรณกรรม
- มหากาพย์ลีเลียดและโอเดสซีของโฮมเมอร์
- นิทานอีสปและงานด้านปรัชญาของเพลโต โสเกรตีส อริสโตเติล ละคร
- ละครสุขนาฏกรรม
- ละครโศกนาฏกรรม
- การสร้างโรงมหรสพ
ท่อระบายน้ำ การใช้ประตูโค้ง
- โรมันปกครองแบบสาธารณรัฐ ซึ่งประกอบด้วยประมุขฝ่ายบริหาร 2 คนและมีสภาเซานท์หรือสภาสูงจำนวน 300 คน ประกอบด้วยชนชั้นสุงและเจ้าของที่ดินส่วนสภาราษฎรประกอบด้วยพลเมืองโรมันทั้งพาทริเชียนและพลีเบียน คือ ชนชั้นสามัญ
- ต่อมาพวกพลีเบียนมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นและมีสิทธิในการปกครอง สามารถแต่งตั้งตำแหน่งทรีบูน ซึ่งมีสิทธิออกเสียงโหวต ทำให้มีการ
บันทึกกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของโรมันที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีความเสมอภาคทางกฎหมาย ทำให้การ
ตัดสินคดีมีมาตรฐานเดียวกัน
- มีการแบ่งแยกอำนาจกัน ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จูเลียส ซีซาร์ ดำรงตำแหน่งผู้เผด็จการตลอดชีพ ส่วนออกัสลัส ซีซาร์ ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ทำให้การปกครองระบอบสาธารณรัฐสิ้นสุด การปกครองแบบจักรพรรดิ เรียกว่า " สมัยสันติภาพโรมัน " อันเป็นผลให้ปรับปรุงการปกครอง ปรับปรุงภาษี ขยายดิน
แดน สร้างสาธารณูปโภค เช่น สะพาน ถนน ท่อน้ำ ที่จักรพรรดิรวมกันได้มั่นคงเพราะมีกฎหมายควบคุม ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมและภาษาละติน ค.ศ.476
จักรพรรดิโรมันตะวันตกถูกยึดครองโดยพวกอนารยชนเผ่าติวตัน
- ชาวโรมันเป็นนักปฏิวัติ นักประยุกต์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย นับถือเทพเจ้าตามอย่างกรีกแต่เปลี่ยนชื่อ นำศิลปะมารับใช้มนุษย์แทนการรับใช้พระเจ้า
- ชาวโรมันคำนึงถึงประโยชน์ในการใช้สอย ความรับผิดชอบต่อสังคม ความมีระเบียบวินัย ความหรูหรา ความสะดวกสบายและการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจรัฐ เช่น วิหารแพนธีออน โคลอสเซียม โรงละคร ที่อาบน้ำสาธารณะ
- จิตรกรรม ภาพวาดที่ฝาผนังนครปอมเปอี
- วรรณกรรม มหากาพย์เอเนียลของเวอร์จิล
- กฎหมาย กฎหมายสิบสองโต๊ะ
- การแพทย์ การผ่าตัดหน้าท้อง