สงครามเย็น
การเกิดของสงครามเย็น
การเกิดขึ้นของสงครามเย็นนั้นยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ทั้งนี้เพราะนักประวัติศาสตร์บางส่วนจะกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มขึ้นในห้วงเวลาหลังสงครามเย็น ในขณะที่อีกส่วนกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มเกิดขึ้นและก่อเค้าลางมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง อย่างไรก็ดีการจะกำหนดให้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในห้วงเวลาใดนั้นคงเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ยาก และต้องย้อนกลับไปพิจารณาที่คำจำกัดความและคำนิยามที่ให้ใว้ในแต่ละฝ่าย แต่ไม่ว่าสงครามเย็นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าภาพความชัดเจนของสงครามเย็นจะปรากฏชัดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะยุติลง หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงความเสียหายอย่างหนักได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ ประเทศที่เข้าร่วมในการทำสงครามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายอักษะ จะมีแต่เพียงสหรัฐฯ และรัสเซีย 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 และด้วยปัจจัยนี้เองจึงส่งผลให้สหรัฐฯ และรัสเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศมีอิทธิพลเป็นประเทศมหาอำนาจของสังคมโลกในห้วงเวลาดังกล่าว แต่ด้วยความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง สังคมโลกจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยมีสหรัฐฯ เป็นประเทศนำ และ กลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์มีรัสเซียเป็นประเทศนำ และจากการแบ่งขั้วออกเป็น 2 ขั้วนี้เองได้ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนั้นยังคงไปไม่ถึงระดับของความขัดแย้งที่มีการใช้กำลังทหารเข้าทำสงครามในลักษณะของสงครามใหญ่ ๆ ซึ่งสภาวะนี้เองถูกเรียกว่าสงครามเย็น
การดำเนินการของแต่ละขั้วในช่วงสงครามเย็นจะมีการดำเนินการในวิธีต่าง ๆ เช่น การขยายกลุ่มอำนาจโดยใช้อุดมการณ์ โดยทำการโฆษณาชวนเชื่อ การให้ความช่วยหลือทางด้านเศรษฐกิจ การสร้างอิทธิพลทางการเมือง การใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ การใช้เครื่องมือทางทหาร เป็นต้น นอกจากนี้การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตยังจะเป็นสิ่งที่เพิ่มระดับของความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 และช่วงหลังทศวรรษที่ 1980 นโยบายการต่างประเทศในช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 ของสหภาพโซเวียตคือการสร้างความมั่นคงให้กับระบบคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกสหภาพโซเวียต ซึ่งรวมถึงหมู่ประเทศพันธมิตรที่อยู่ภายใต้อาณัติของสหภาพโซเวียตด้วย ในขณะที่สหรัฐฯ นั้นมีความชัดเจนที่จะดำเนินการวิธีใด ๆ ก็ตามที่สามารถสกัดกั้นการแพร่ขยายของสัทธิคอมมิวนิสต์ และในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 จนมาถึง ในสมัยต้นทศวรรษที่ 1990 สหรัฐ ฯ ได้มีนโยบายการต่างประเทศกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ผ่อนคลายลง ดังเช่น สหรัฐอเมริกาได้มองเห็นว่าจีนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเอเชียตะวันออก
จึงเริ่มเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์กับจีน หรือ นโยบายในการยินยอมให้มีการเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์ลง ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตก็มีท่าที่ผ่อนคลายลงเหมือนกัน มีการเปิดประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นที่รู้จักกันในชี่อ กลาสนอสท์ (Glasnost) และปรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นขึ้น ที่รู้จักกันในชื่อ เปเรสตรอยกา (Perestroika) หรืออย่างกรณีของ การเชิญ ด.ญ. Samantha Smith ผู้ซึ่งมีอายุ 10 ปีในขณะนั้น ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต หลังจากที่เธอเขียนจดหมายแสดงถึงความกลัวในสงครามนิวเคลียร์ส่งไปยัง ประธานาธิบดี Yuri Andropov ของสหภาพโซเวียต และประธานาธิดี Yuri ได้ตอบจดหมายเป็นการส่วนตัวด้วยต้นเองเชิญ ด.ญ. Samantha ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต การกระทำครั้งนี้ของประธานาธิบดี Yuri ได้รับการกล่าวขานในหมู่นักการเคลื่อนไหวทางสันติภาพและทำให้บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง