Muammar Gaddafi (มูฮัมมาร์ กัดดาฟี)

Muammar Gaddafi (มูฮัมมาร์ กัดดาฟี)

   

http://terasphere.exteen.com/images/documentary/GMR/GMR-6.jpg

           กัดดาฟี   เกิดเมื่อ ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจมในทะเลทรายใกล้เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มๆว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เป็นชนเผ่าเบอร์เบอร์ อาชียเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาเลยทีเดียว ในวัยเยาว์กัดดาฟี เรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่ออายุได้ 14 ปี ใน ค.ศ. 1956 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้โอนคลองสุเอชเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์ 
          กัดดาฟี ได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้น เพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา
          กัดดาฟี่ เคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและสไตร๊ค์จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างคูรมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยกัดดาฟี่ ก็ค่อยๆปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฎิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุค นั่นเอง
           เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้ว กัดดาฟี่ได้เป็นนายทหารในกองทัพบก และทำงานใต้ดินติดต่อกับเพื่อนๆนายทหารของตน บรรดานายทหารที่ร่วมวางแผนปฎิวัติ กับกัดดาฟี่ล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ซึ่งกัดดาฟี่ได้ประพฤปฎิบัติตนเป็นแบบอย่างมาตลอด ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารกลุ่มกัดดาฟี่ จึงเป็นนายทหารที่หาได้ยากในลิเบีย เพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิง
           กัดดาฟี่ อายุได้ 24 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อวิชาสื่อสารที่ประเทศอังกฤษ   6 เดือน ต่อมาใน ปี ค.ศ. 1969 ก็ได้เป็นร้อยเอก ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารสื่อสาร และในปีเดียวกันนั้นเอง กัดดาฟี่กับคณะนายทหารของของ จึงได้ตกลงใจกันที่จะยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบบกษัตริย์ของลิเบีย ซึ่งลิเบียในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลายเป็นแหล่งดึงดูดมหาอำนาจตะวันตก เพราะได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ในปี ค.ศ. 1959 ชนชั้นปกครองร่ำรวยล้นฟ้า บริษัทต่างปีะเทศเข้ามาขอสัมทานน้ำมัน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิเบียถัดจากกษัตริย์ไอดริส ได้แก่ตระกูลเชลฮี ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง และจากความมั่งคั่งของชนชั้นปกครอง และความอดอยากยากจนของพลเมือง กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาจึงไม่อาจจะอดทนรอได้ต่อไป 
          วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1969 ขณะนั้นกษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ และในคืนนั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่ พอตกค่ำกัดดาฟี่ก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหาร และนายตำรวจเหล่านนั้นได้ทั้งหมด จากนั้นนายทหารชั้นนายร้อยทั้งหลายก็แยกย้านกันเข้ายึดเมืองตริโปลี และ เบงกาซี โดยใช้รถถัง และรถเกาะเข้ายึกสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัยๆต่างๆ ตลอดจนค่ายทหารที่อาเซียและพระราชวังด้วย
          นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพบก และตำรวจแห่งชาติก็อยู่ภายใต้การบังคับการของกัดดาฟี่ เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาเขาได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงค์ตำแหน่งประมุขสูงสดุของสาธารณรัฐลิเบีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาปฎิวัติ ซึ่งสถานี้มีอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ได้แก่นายทหารที่ร่วมคบคิดกันมากับกัดดาฟี่นั่นเอง
          หลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลได้แล้ว กัดดาฟีได้แก้ปัญหาเรื่องเอกราชก่อน โดยการไม่ยินยอมให้สหรัฐฯและอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด แล้วจึงขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันขึ้นมาอีก 120 เปอร์เซนต์ และภายหลังได้โอนมาเป็นของรัฐ ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางสมัยนั้น
จากนั้นกัดดาฟี่ได้ใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย ตั้งแต่ ทศวรรษที่ 1980 ปรากฎว่ารายได้เฉลี่ยของชาวลิเบียส฿งถึง 7000 เหรียญต่อปี 
          กัดดาฟี่ยึดรถยนต์เมอซีเดซ ที่เจ้านายและนักการเมืองในอดีตใช้กันอย่างหรูหรา ได้ถึง 600 คัน ส่วนตนเองใช้รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ และยังได้ลดเงินเดือนรัฐมนตรีลงครึ่งหนึ่ง ลดค่าเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยของคนจนลง 1 ใน 3 
         หลักการปฎิวัติของกัดดาฟี่นั้น มีอยู่ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ที่เรียกกันว่า  Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่าง ในพระคัมภีร์กุรอ่านมาปรับใช้ในโลกที่สมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซก็คือสังคมยูโตเปีย ที่ปกครองด้วยระบบราชการ
         จากความจะเป็นอันเนื่องมาจากมหาอำนาจตะวันตก ล้วนเป็นปริปักษ์ต่อลิเบีย กัดดาฟี จึงต้องซื้ออาวุธจากโซเวียตเป็นจำนวนมาก ทั้งรถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อย่างอื่นอีก
         จึงไม่แปลกเลยที่ ในสายตาของชาวลิเบีย และชาวอาหรับมากมาย กัดดาฟี่ คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ ทั้งที่ในสายตาของรัฐบาลอเมริกา เขสคือปีศาจร้ายที่ต้องต้องทำลายให้สิ้น เพราะอยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายชาวอาหรับจำนวนมาก

                                                                                                                      

สร้างโดย: 
น.ส.เขมจิรา เชษฐ์ชัยอมรกุล

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 468 คน กำลังออนไลน์