ศัลยกรรมแก้ไขรอยแผลเป็น
ผู้ที่ต้องการปรับ รอยแผล ที่เกิดขึ้นกับผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย ให้ดูดีขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นจุดเด่น และอาจจะเป็นจุดที่ทำให้ ผู้มีบาดแผลนั้นขาดความมั่นใจ หรือมีผลต่อการทำงาน แผลเป็นที่เกิดขึ้นนั้น มักจะเกิดจากการเกิดอุบัติเหตุ หลุมสิว หรือจากการทำผ่าตัด
มีสาเหตุหลายอย่าง ที่ทำให้แผลเป็นมองเห็นได้ชัดเจน สาเหตุหลักๆก็คือ
- บาดแผลที่เกิดขึ้น ว่ามีความรุนแรง ความบอบช้ำของผิวเนื้อ
- วิธีการเย็บ และตกแต่งบาดแผล ที่เหมาะสมกับลักษณะบาดแผล
- คุณภาพของการหาย ของผิวหนังของคนไข้แต่ละคน
ถ้าหากมีสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือ มีหลายสาเหตุร่วมกัน แล้วการหายของแผลก็อาจจะมีปัญหา ทำให้เห็นได้ชัด ไม่น่าดู
แหล่งที่มา : http://www.clinicneo.co.th/img/column/DB/224_0.jpg
แผลเป็นที่มีปัญหาแยกตามลักษณะได้ดังนี้
1. ปัญหาแผลนูน มักจะเกิดจาก 2 ภาวะ คือ
1.) แผลคีลอยด์ ( Keloid )
จะเป็นแผลที่นูนออกนอกขอบเขตของแผลเดิมมาก มีอาการคัน มักเกิดบริเวณหน้าอก อาจเริ่มจากการเป็นสิวที่ร่องอก บริเวณหัวไหล่จากการฉีดวัคซีน ติ่งหูหลังการเจาะหู หรือเป็นบริเวณอื่นๆ หลังการผ่าตัดคลอดลูก เป็นต้น สาเหตุเป็นจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งเป็นจากกรรมพันธ์ คีลอยด์ไม่สามารถหายเองได้
2.) แผลเป็นนูนที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อให้แผลหาย ( Hypertrophic Scar )
แต่ละคนมีปฏิกิริยาดังกล่าวมากน้อยแตกแต่งกัน มักเกิดในช่วงแรกหลังการผ่าตัด จะเห็นนูนพร้อมกับมีสีแดงชมพู ประมาณ 3 สัปดาห์หลังเกิดแผล ความนูนจะลดลง สีแดงอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆจางเมื่อเวลาผ่านไป ในบางรายการนูนอาจเกิดขึ้นใหม่หลัง 2-3 เดือน แต่ส่วนมากจะอยู่ในขอบเขตของแผล ไม่นูนยื่นแบบคีลอยด์ อาการคันเกิดได้บ้างแต่จะน้อยกว่าคีลอยด์ แผลเป็นนูนสามารถหายได้เองหลัง 1 ปี แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าลักษณะแบบใดที่ควรรอให้หายเองหรือควรจะทำการศัลยกรรมแก้ไข
2. แผลเป็นหลุม ( Depressed Scar )
ที่พบบ่อยเกิดจากการเป็นสิว หลังเกิดการอักเสบ หรือจากการเป็นฝีอีสุกอีใส เนื้อเยื่อผิวที่มีหลายชั้นถูกทำลายลึก จนไม่สามารถสร้างชั้นผิวได้ครบเหมือนผิวด้านข้าง จึงเห็นเป็นลักษณะหลุม
3. แผลยืดกว้างออกจากรอยเย็บเดิม ( Widening Scar )
ส่วนหนึ่งเกิดจากเทคนิคการเย็บแผล ที่ขอบแผลไม่แนบสนิทไม่ปราณีต หรือ เย็บได้ไม่แข็งแรงพอ ,เมื่อมีการขยับของผิวบริเวรแผล แผลก็จะแยกและยืดออก แผลลักษณะนี้พบได้บ่อยเช่นกัน
4. แผลที่มีสีไม่เหมือนสีผิวปกติที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับแผล ( Hypopigmented , Hyperpigmented Scar )
ทำให้แผลเห็นชัด ปัญหาสีที่เกิดมีได้ที่เป็นสีแดง น้ำตาล และขาว
5. แผลที่มีการดึงรั้ง หรือ เหลื่อมล้ำ ของเนื้อ ( Scar Contracture , Malalignment Scar )
มักเกิดจาก การเย็บเนื้อได้ไม่ตรงกัน หรือแผลมีความรุนแรง จนมีเนื้อหายไปแต่ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง
6. แผลที่มีหลายๆปัญหาดังกล่าวร่วมกัน
กรณี แผลคีลอยด์ ( Keloid )
ส่วนมากจะแนะนำให้ใช้การฉีดสเตรียรอยด์ มีบางกรณีเท่านั้นที่เลือกใช้การ ผ่าตัด ร่วม เช่น คีลอยด์บริเวณติ่งหู เป็นต้น
นอกเหนือจากแผลคีลอยด์ จะมีหลักการและขั้นตอนวิธีต่างๆกันดังนี้
1. ตัดแผลทั้งหมดออก แล้วทำการเย็บใหม่ ( Scar Excision ) ด้วย วิธีเย็บที่เหมาะสม มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันการยืดของแผล และ เย็บอย่างละเอียดปราณีต เพื่อให้แผลหายได้ดีและเร็วที่สุด แผลใหม่ที่เย็บจะเป็นเส้นบางเท่าเส้นผม และขอบแผลแนบสนิทเสมอกัน นอกจากการเย็บแบบแนวเส้นตรง บางแผลจำเป็นต้องตัดและเย็บแผลแบบพิเศษ เป็นลักษณะรูปฟันปลาเล็กๆ เพื่อให้แผลหายได้ดีขึ้นกว่าวิธีเย็บปกติ
2. ตัดบางส่วน ของแผลที่มีปัญหาออก แล้วทำการเย็บบริเวณดังกล่าว ( Serail Scar Excision ) และเมื่อแผลหายดีแล้ว จึงทำการตัดส่วนที่เหลือของแผลเป็นออกอีกครั้งจนหมด มักใช้ใน แผลเป็น ที่มีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถตัดครั้งเดียวได้หมด
3. ตัดแผลร่วมกับการกรอผิวบริเวณแผลหรือด้านข้างของแผล เพื่อให้ผิวหนังใหม่ขึ้นคลุมแผล ลดความเด่นชัดของรอยเย็บใหม่
4. ใช้การกรอ ( Dermabrasion ) ไม่ว่าจะเป็น การใช้สารเคมี ( Chemical peel ) เครื่องมือเฉพาะ หรือเลเซอร์ ( Laser ) ได้ผลดีในรายที่แผลมีลักษณะเป็นหลุม ร่อง
5. ในกรณีที่ตัดแผลออกหมดแล้ว ไม่สามารถเย็บใหม่ได้เนื่องจากแผลมีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในบริเวณที่มีความตึงมาก แพทย์จะเลือกใช้วิธีดังต่อไปนี้
o ใช้ผิวหนังบริเวณอื่นมาทดแทน ( Skin Graft , Flap ) เช่น ผิวหนังบริเวณต้นขา ขาหนีบ หรือใช้เนื้อเยื่อบริเวณใดก็ตามที่สามารถทำการตัดต่อเส้นเลือดได้ แต่มีข้อจำกัดดังนี้คือคุณสมบัติต่างๆของผิวย่อมไม่เหมือนกัน เช่น สี ความหนา เส้นขน ความรู้สึก
o ใช้ถุงน้ำเกลือทำการขยายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ( Tisssue Expansion Surgery ) เป็นการผ่าตัดขั้นตอนแรกก่อน ขั้นตอนที่ 2 จึงจะตัดแผลออกพร้อมกับใช้เนื้อเยื่อผิวหนังที่ยืดแล้วมาเย็บเข้าหากันแทนที่ส่วนที่ถูกตัดออก
ผลที่ได้หลัง จากการตกแต่งรอย แผลเป็น จะเป็นการปรับสภาพของแผลจากที่เคยเห็นได้ชัด พรางให้กลมกลืนกับเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือจากแผลกว้างให้เหลือเป็นเพียงเส้นบางๆ
ระยะแรกแผลยังอาจมองเห็นได้ชัด จากขอบรอบแผลที่แก้ไข มีสีชมพู (แต่ตัวแผลจะเป็นเพียงรอยเส้นบางๆเท่าเส้นผม) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการหายตามปกติธรรมชาติของร่างกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายจะปรับให้สีที่ขอบแผลจางลง
หลังการผ่าตัด
1. อาบน้ำ ล้างหน้า ถูสบู่ถูกบริเวณแผลได้ทันที
2. หลบเลี่ยงการถูกแดดบริเวณแผล โดยเฉพาะในช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังทำผ่าตัด หรือใช้โลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่าหรือเท่ากับ 30 ทาบริเวณแผล
3. ในบางตำแหน่งที่มีการขยับเขยื้อนมาก เช่น บริเวณรอบปาก อาจจะใช้เทปปิดยึดบริเวณแผลเพื่อกันไม่ให้แผลยืดออก
4. ระยะเวลาตัดไหม มีดังนี้
- บริเวณหน้า 5 วัน
- บริเวณแขน 7 วัน
- บริเวณลำตัวและขา 10-14 วัน
• การแก้ไขแผลเป็น เป็นการแก้ไขให้แผลเป็นที่เห็นชัด ให้รอยแผลดีขึ้น รอยแผลจะไม่มีการหายไปจนมองไม่เห็น ผลที่ดีที่สุดหลังแก้ไขที่เป็นไปได้ ก็จะเป็นเพียงรอยแผลบางเท่าเส้นผมและเป็นรอยจางๆ มองเห็นได้ไม่ชัด ต้องตั้งใจสังเกต และผลการรักษาในแต่ละคนจะแตกต่างกันได้ จากความสามารถในการหายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
• หลังการแก้ไขแผลเป็น(จนแผลหายเต็มที่แล้ว) ลักษณะแผลเป็นสุดท้ายจะดูดีขึ้นกว่าก่อนแก้ไข แต่การหายหลังแก้ไขอาจจะดีไม่เท่ากันทั้งหมดของแนวแผล ดังนั้นบางครั้งอาจที่จะต้องมีการแก้ไขรอยแผลบางส่วนซ้ำเพิ่มอีกเล็กน้อย